
(กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 34/2568)
กสม. ตรวจสอบกรณีอุทยานแห่งชาติไม่สำรวจกันแนวเขตสุสานและพื้นที่เพิงพักพิงชั่วคราวของชาวเล ชงเร่งประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ตามกฎหมาย – แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวปฏิบัติต่อผู้ถือบัตรผู้ลี้ภัยที่เข้ามาพำนักในประเทศไทยให้สอดคล้องตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ และหลักสากล
วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม 2568 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ นายจุมพล ขุนอ่อน รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 34/2568 โดยมีวาระสำคัญดังนี้
- กสม. ตรวจสอบกรณีอุทยานแห่งชาติไม่สำรวจกันแนวเขตสุสานและพื้นที่เพิงพักพิงชั่วคราวของชาวเล ชงเร่งประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ตามพ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568
นายจุมพล ขุนอ่อน รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้แทนชาวเลอูรักลาโว้ยและชาวเลเกาะหลีเป๊ะ เกี่ยวกับสิทธิชุมชนในการจัดการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า กลุ่มชาวเลอูรักลาโว้ยซึ่งมีวิถีชีวิตเกี่ยวพันกับทะเลและเกาะต่าง ๆ มาตั้งแต่อดีต มีอาชีพหลักด้านการประมงและบางส่วนประกอบอาชีพเกี่ยวกับการท่องเที่ยวด้านวิถีชีวิตวัฒนธรรม ได้รับผลกระทบจากการที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี (พื้นที่จังหวัดกระบี่) (ผู้ถูกร้องที่ 1) มีประกาศเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2564 ให้ทำลายหรือรื้อถอนเพิงพักชั่วคราว (บาฆัด) เพื่อหลบมรสุมของชาวเลหรือชาวประมงบริเวณเกาะพีพีดอน หมู่ที่ 7 และหมู่ที่ 8 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เนื่องจากตรวจพบว่ามีการบุกรุก และไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน
ขณะที่ชาวเลเกาะหลีเป๊ะ หมู่ 7 ตำบลเกาะสาหร่าย อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล ซึ่งมีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเชื่อมโยงกับพื้นที่สุสานและพื้นที่เพิงพักชั่วคราว (บาฆัด) ที่ใช้ทำมาหากินและตั้งอยู่บนเกาะอาดัง เกาะราวี และเกาะดง จะได้รับผลกระทบต่อการดำรงชีพตามวิถีชีวิตวัฒนธรรม หากอุทยานแห่งชาติตะรุเตา (จังหวัดสตูล) (ผู้ถูกร้องที่ 2) ไม่สำรวจกันแนวพื้นที่สุสานและพื้นที่บาฆัดของชาวเลไว้ จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 43 (1) และ (2) ได้รับรองสิทธิของบุคคลและชุมชนในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู หรือส่งเสริมภูมิปัญญา วัฒนธรรม และจารีตประเพณีอันดีงามทั้งของท้องถิ่นและของชาติ รวมถึงการมีส่วนร่วมในการจัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยชาวเลได้รับความคุ้มครอง ส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามมติคณะรัฐมนตรีว่าด้วยการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 เพื่อให้ชาวเลสามารถประกอบอาชีพประมง หาทรัพยากรตามเกาะต่าง ๆ ได้ รวมทั้งสามารถเข้าไปทำมาหากินในพื้นที่อุทยานและเขตอนุรักษ์อื่น ๆ ตามวิถีวัฒนธรรมของตน
กสม. เห็นว่า การดำเนินการของอุทยานแห่งชาติฯ ผู้ถูกร้องที่ 1 และ 2 รวมทั้งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (ผู้ถูกร้องที่ 3) ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 64 และมาตรา 65 บัญญัติให้ผู้ถูกร้องทั้งสาม ต้องสำรวจการถือครองที่ดินของประชาชนที่อยู่อาศัยหรือที่ทำกิน รวมทั้งสำรวจข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับประเภทและชนิดของทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถเกิดใหม่ทดแทนได้ในเขตอุทยานแห่งชาติ โดยในส่วนการสำรวจพื้นที่เพิงพักชั่วคราว (บาฆัด) เห็นว่า ในช่วงที่ผ่านมาแม้ผู้ถูกร้องทั้งสามได้สำรวจการถือครองที่ดินตามกฎหมายแล้ว แต่ไม่ครอบคลุมถึงพื้นที่บาฆัด โดยให้เหตุผลว่าบาฆัดเป็นสิ่งปลูกสร้างในเขตอุทยานแห่งชาติ ถ้ามีลักษณะชั่วคราว อุทยานแห่งชาติในพื้นที่จะมีมาตรการผ่อนปรนให้ใช้เป็นที่พักหลบมรสุมสำหรับการทำประมงตามวิถีชีวิตได้ แต่หากมีลักษณะกึ่งถาวรหรือถาวร เช่น ทำจากปูนซีเมนต์ จะถูกสั่งให้รื้อถอนหรือดำเนินคดีเป็นรายกรณี
อย่างไรก็ดี เมื่อปี 2564 ในกรณีของอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี (พื้นที่จังหวัดกระบี่) ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาว่า บาฆัดในหมู่เกาะพีพีดอน เป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะกึ่งถาวรหรือถาวร จึงมีคำสั่งให้รื้อถอน แม้ต่อมาไม่ได้รื้อถอนตามประกาศฉบับดังกล่าวกระทั่งถึงปัจจุบันก็ตาม แต่ กสม. เห็นว่าการใช้ดุลพินิจดังกล่าวในเรื่องพื้นที่บาฆัดของผู้ถูกร้องทั้งสาม ยังขาดการรับฟังความคิดเห็นหรือปรึกษาหารือร่วมกันกับชาวเลที่ได้รับผลกระทบ การใช้ดุลพินิจยังไม่อยู่บนฐานหรือแนวปฏิบัติหรือคำนิยามที่ชัดเจนเกี่ยวกับการตีความ “บาฆัด” รวมถึงไม่ได้พิจารณาให้ครอบคลุมถึงข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในเขตอุทยานแห่งชาติที่ทำให้ลักษณะทางกายภาพของบาฆัดมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งกระทบต่อสิทธิของบุคคลและชุมชนของชาวเลซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมในพื้นที่ จึงเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ส่วนประเด็นการสำรวจและบริหารจัดการพื้นที่สุสานหรือหลุมฝังศพของชาวเลในพื้นที่อุทยานแห่งชาติของผู้ถูกร้องทั้งสาม เห็นว่า นับตั้งแต่การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทั้งสองแห่งในปี 2517 และปี 2526 ชาวเลในพื้นที่ได้ถูกอพยพถิ่นฐานโดยถูกจำกัดพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่การใช้ประโยชน์ ต่อมาเมื่อมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2564 แม้ผู้ถูกร้องที่ 1 และที่ 2 ได้สำรวจพื้นที่สุสานหรือหลุมฝังศพของชาวเลไว้แล้ว แต่ข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติพบว่าพื้นที่สุสานบางแห่งถูกจำกัดเขตไว้ในบางจุดเท่านั้น จากเดิมที่ชาวเลเคยฝังศพได้ในหลายจุด ส่งผลให้เกิดปัญหาความแออัดตามมา ประกอบกับข้อมูลลงพื้นที่สำรวจบริเวณหมู่เกาะของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา (จังหวัดสตูล) ผู้ถูกร้องที่ 2 จำนวน 34 จุด พบว่า ประชาชนยังมีข้อจำกัดในการเข้าใช้หรือดำเนินวิถีตามวิถีชีวิตดั้งเดิมในหลายจุด แสดงให้เห็นว่า การบริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าวกระทบต่อวิถีชีวิตและไม่สอดคล้องกับสิทธิของบุคคลและชุมชนของชาวเลในพื้นที่ในด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟู หรือส่งเสริมภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีอันดีงามทั้งของท้องถิ่นและของชาติ จึงเห็นว่า ในประเด็นการบริหารจัดการพื้นที่สุสาน ผู้ถูกร้องทั้งสามมีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน
ทั้งนี้ กสม. เห็นว่า เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 มีผลใช้บังคับ และกำหนดให้มี “คณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน พร้อมด้วยภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าวมีหน้าที่และอำนาจที่สำคัญ คือ การกำหนดนโยบาย แผนงาน และมาตรการเกี่ยวกับการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ รวมถึงการประกาศหรือเพิกถอนพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
ดังนั้นเพื่อเป็นการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลในพื้นที่ กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะไปยังผู้ถูกร้องทั้งสามให้ร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลสำรวจพื้นที่ทำกิน พื้นที่อาศัย และพื้นที่ทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ ในพื้นที่เกาะต่าง ๆ รวมทั้งเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล รวมทั้งสิ้น 34 จุด และรายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้หารือถึงแนวทางในการจัดทำคำนิยามและแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับบาฆัดหรือเพิงพักชั่วคราวของชาวเล รวมถึงพื้นที่ทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของชาวเล เช่น สุสานหรือพื้นที่ฝังศพ และพื้นที่ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อหรือวิถีชีวิต เป็นต้น เพื่อให้เป็นแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ โดยคำนึงถึงหลักการให้กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในการจัดการ อนุรักษ์ ฟื้นฟู บำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ สิทธิในการดำรงวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิม ตามที่บัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ พันธกรณีระหว่างประเทศ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568
นอกจากนี้ ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการเพื่อผลักดันการประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ให้สอดรับกับพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. 2568 และเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 ว่าด้วยแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล ทั้งนี้ ในการดำเนินการต้องให้กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลในพื้นที่มีส่วนร่วมในการออกแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน วิถีชีวิตและวัฒนธรรม การจัดสรรที่ดินทำกิน/ที่อยู่อาศัย การพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การพัฒนาอาชีพ รวมถึงการจัดการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ให้ครอบคลุมกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลทั้งหมด





