กรณีนายพชร นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษาประธาน กสทช. ออกมาตีโพยตีพายอ้างว่า กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) และมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ยืนยันสถานะของ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช.ไม่ได้เป็น“พนักงานของมหาวิทยาลัย” นับแต่วันที่ได้รับเลือกและแต่งตั้งเป็น ประธาน กสทช.แล้ว และยังกล่าวว่าข้อกล่าวหาของ กรรมาธิการไอซีที วุฒิสมาชิกและเครือข่ายของสภาองค์กรผู้บริโภค ไม่เป็นความจริง นั่น
นายประพันธุ์ คูณมี อดีตสมาชิกวุฒิสภาและ 1 ในกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสารและการคมนาคม วุฒิสภา ออกมาตอบโต้ว่า การกระทำของผู้ให้ข้อมูล มีผลทำให้ กมธ.ไอซีที เสียหาย จึงขอเรียนมายังสื่อมวลชนและประชาชนโดยทั่วไปว่า กรณีการตรวจสอบคุณสมบัติประธาน กสทช.เป็นเรื่องสืบเนื่องจากการที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการ กสทช.ในอดีตมีหนังสือร้องเรียนมายังประธานวุฒิสภา เพื่อให้ตรวจสอบคุณสมบัติของ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช.ว่า ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายหรือไม่ ประธานวุฒิสภา จึงส่งหนังสือถึง กมธ.ไอซีทีดำเนินการตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่
คณะกรรมาธิการไอซีที ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีดังกล่าว เป็นไปตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.2562 ข้อ 78 วรรคสอง(17) จึงได้ทำการศึกษา ตรวจสอบข้อเท็จจริง เป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายและอำนาจหน้าที่ตามข้อบังคับ มิใช่เป็นการกระทำ“แบบศาลเตี้ย” ตรงกันข้ามการกระทำของ นพ.สรณฯต่างหากที่พยายามหลีกเลี่ยง ไม่ให้ความร่วมมือกับ กมธ.และไม่ยอมตอบชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาในเรื่องที่ตนถูกร้องเรียนแต่อย่างใด อันเป็นการแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ไม่เคารพต่อกระบวนการตรวจสอบอันชอบด้วยกฎหมายของวุฒิสภา ทั้งๆที่ กมธ.มีหนังสือเชิญไปหลายครั้ง
นอกจากนี้ในการพิจารณาสรุปข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบ และรายงานผลสอบข้อเท็จจริงของ กมธ.ในกรณีนี้ ก็ได้เผยแพร่และเสนอต่อ ประธานวุฒิสภามาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 เป็นเวลาล่วงเลยมาร่วมหนึ่งปีเศษแล้ว แต่ นพ.สรณฯ ก็ไม่เคยเปิดปากโต้แย้งแต่อย่างใด เพิ่งจะมาแสดงความคิดเห็นโต้แย้ง ด้วยข้อความที่ไม่เป็นความจริงและก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นอันเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
ในฐานะ กมธ.ผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงและร่วมลงมติกับ กมธ.ที่มีความเห็นร่วมกันเป็นเอกฉันท์ว่า นพ.สรณ ฯ มีลักษณะเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 มาตรา 7 ข.(12) มาตรา 8 และมาตรา 26 ประกอบมาตรา 18 และมาตรา20 ขอยืนยันต่อสื่อมวลชนทั้งหลายว่า รายงานการสอบหาข้อเท็จจริง กรณีตรวจสอบคุณสมบัติของ นพ.สรณฯ ปธ.กสทช. เป็นความจริงทุกประการตามรายงานที่ กมธ.ได้เสนอต่อประธานวุฒิสภา และที่ได้เผยแพร่ต่อประชาชน
โดย กมธ.ได้พิจารณาจากพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง ประกอบกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว เฉพาะอย่างยิ่ง กมธ ได้พิจารณาจากหลักฐานหนังสือทางราชการ ลงนามโดยผู้มีอำนาจลงนามจากหน่วยงานต้นสังกัดที่ให้ความร่วมมือส่งมายัง กมธ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะเอกสารหลักฐานสำคัญๆเกี่ยวกับสถานะการเป็น”พนักงานมหาวิทยาลัย“ ของ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ปรากฎรายละเอียดดังนี้คือ
หนังสือสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ด่วนที่สุด ที่ อว ๗๘/ล ๐๑๑๔๙ ลงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗ เรื่องชี้แจงข้อมูลพร้อมจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง มาบังประธานคณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา โดยยืนยันเป็นหนังสือว่า
“ข้อมูลเกี่ยวกับการทำหน้าที่ตรวจและรักษาคนไข้ของ นพ.สรณฯ ช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๔ จนถึงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๕ นพ.สรณฯ มีสถานะเป็น ”พนักงานมหาวิทยาลัย” ทำหน้าที่ตรวจและรักษาคนไข้ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในของคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ต่อมาตั้งแต่วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๕ จนถึงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๕ มีสถานะเป็น “แพทย์ค่าตอบแทนรายชั่วโมง” และช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๕ จนถึงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๖ นพ.สรณฯ จึงไม่พบสถานะการเป็นบุคคลากรของคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
นอกจากนี้ยังแจ้งด้วยว่า นพ.สรณฯ ได้รับค่าตอบแทนในการทำหน้าที่ตรวจและรักษาคนไข้ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในของคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ตามระยะเวลาที่ปฎิบัติงานดังกล่าวข้างต้นด้วย
“หนังสือของส่วนงานราชการต้นสังกัดที่ยืนยันว่า นพ.สรณฯ “เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย” ที่ส่งมาถึง ปธ.กมธ.ไอซีที ลงนามโดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลโดยตรง”
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ยังสอดคล้องกับ หนังสือของกรมสรรพากร ด่วนที่สุดที่ กค.๐๗๐๑/๔๐๐ ลงวันที่ 23 พ.ค.2567 เรื่อง แจ้งผลการค้นข้อมูลภาษีอากร ที่ส่งถึง ประธานคณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา ( พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์) ตามที่ กมธ.ขอให้กรมสรรพากรจัดส่งข้อมูลราย นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ต่อ กมธ. ซึ่งอธิบดีกรมสรรพากรจึงได้จัดส่งข้อมูลเป็นเอกสารมายัง กมธ.ไอซีที โดยสรุปข้อมูลได้ว่า จากการค้นข้อมูลแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา(ภ.ง.ด.๙๐) ปีภาษี ๒๕๖๕ นพ.สรณฯมีเงินได้จาก 1. สำนักงาน กสทช. 2. คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล 3. บริษัท เมอร์ค จำกัด
ต่อมาปีภาษี ๒๕๖๖ นพ.สรณฯ มีเงินได้จาก 1.สำนักงาน กสทช. 2.บริษัท เมอร์ค จำกัด
ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานดังกล่าว ประกอบกับหลักฐานที่นพ.สรณฯ เมื่อได้รับเลือกเป็น ปธ.กสทช.แล้ว ยังยินยอมให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เสนอชื่อตนเองต่อที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ผู้ถือหุ้นเลือกและยอมรับการเป็นกรรมการของบริษัท ธนาคารกรุงเทพฯ อีกด้วย
เหตุนี้ กมธ.จึงพิจารณาเห็นว่า นพ.สรณฯ มิได้อุทิศตนทำงานเต็มเวลาและเมื่อได้รับเลือกและได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสมาชิกแล้ว ก่อนหรือภายหลังที่นายกรัฐมนตรีจะนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนั้น ก็มิได้ลาออกจากกรรมการบริษัทธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และมิได้ลาออกจากการ“เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย” ตามเวลาที่ประธานวุฒิสภาแจ้งให้ทราบแต่อย่างใด
เมื่อพิจารณาตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่กล่าวมาข้างต้น กมธ.จึงเห็นว่า นพ.สรณฯ มีลักษณะเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา ๗ ข.(๑๒) มาตรา๘และมาตรา ๒๖ ประกอบมาตรา๑๘ และมาตรา ๒๐ อันเป็นการพิจารณาตามพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วยความสุจริตตามอำนาจหน้าที่โดยชอบของ กมธ.วุฒิสภาทุกประการ
การที่ นพ.สรณฯ หรือที่ปรึกษาของท่าน ได้ออกมาให้ข่าวและข้อมูลต่อสื่อมวลชน กล่าวหาการทำหน้าที่ของ กมธ.ไอซีที จึงไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น และจนถึงปัจนุบันยังไม่ปรากฎหลักฐานใดๆว่าท่านได้ลาออกจากการ”เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย“ หรือการที่ท่านอ้างผลการตรวจสอบของกระทรวง อว. ก็ไม่ปรากฎว่าบุคคล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ออกมาแถลงยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าวให้มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักของ กมธ.แต่อย่างใด หนังสือที่ท่านอ้างถึงเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย
“หากท่านเห็นว่ารายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ กมธ.เป็นเท็จหรือทำให้ท่านเสียหาย ข้าพเจ้าขอเรียนเชิญให้ท่านควรรีบใช้สิทธิทางศาลฟ้องคดีต่อผู้ที่กล่าวความเท็จนั้นได้ ข้าพเจ้ายินดีนำข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานแสดงต่อศาลเพื่อพิสูจน์ความจริงได้ตลอดเวลา ไม่ควรปล่อยเรื่องนี้ผ่านมาร่วมปีเศษ และดำรงตำแหน่ง ปธ.กสทช.โดยไร้ความสง่างาม”
ส่วนที่ท่านอ้างความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ชี้ว่าอำนาจในการตรวจสอบคุณสมบัติท่าน เป็นของ คณะกรรมการสรรหา กสทช.นั้น ข้าพเจ้าขอเสนอให้ท่านได้โปรดเสนอหนังสือ หรือพยานหลักฐานที่แสดงว่า กฤษฎีกาได้มีความเห็นเช่นนั้นจริงมาแสดงต่อสื่อมวลชนด้วย มิเช่นนั้นข้อกล่าวอ้างของท่านก็จะเป็นสิ่งที่เลื่อนลอย ไม่มีพยานหลักฐานให้รับฟังได้แต่อย่างใด



