วัชระ ย้ำต้องรีบจบปัญหากัญชา! จี้นายกฯ เร่งสั่งหยุดจับชาวบ้านที่ใช้รักษาโรคหรือปรุงอาหาร ชี้เรื่องปัญหาของกัญชานี้ ตนได้เคยยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอให้สั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหยุดดำเนินคดีกับชาวบ้านที่ปลูกกัญชาเพื่อการปรุงอาหารและรักษาโรค โดยครอบครัวหรือนิติบุคคลละ 10 ต้น หรือมากกว่า
(9 มิ.ย.65) จากกรณีที่ตำรวจ สภ.ศรีราชาได้จับกุม นางพรพิมล ประกอบผล อายุ 55 ปี โดยกล่าวหาว่าผลิตยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) โดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมของกลางกัญชา จำนวน 1 ต้น น้ำหนักประมาณ 20 กรัม เหตุเกิดที่บริเวณหน้าห้องเช่าไม่มีเลขที่ หมู่ 4 ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 30 พ.ค.65 และต่อมานายตำรวจที่จับกุมคือ ร.ต.อ.จตุพล เทสินทโชติ สารวัตรสืบสวน สภ.ศรีราชา ได้ถูกคำสั่งตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ที่ 220/2565 ลงวันที่ 31 พ.ค.65 สั่งย้ายไปปฏิบัติราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งเดิม จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงนั้น
นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องปัญหาของกัญชานี้ ตนได้เคยยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 12 ม.ค.65 ขอให้สั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหยุดดำเนินคดีกับชาวบ้านที่ปลูกกัญชาเพื่อการปรุงอาหารและรักษาโรค โดยครอบครัวหรือนิติบุคคลละ 10 ต้น หรือมากกว่า โดยไม่ต้องขออนุญาตต่อทางราชการ รวมทั้งสั่งการไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ชะลอการจับกุมชาวบ้านที่ปลูกต้นกัญชาไว้สำหรับการบำบัดรักษาโรคหรือปรุงอาหาร และประสานสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อขอสั่งไม่ฟ้องประชาชนผู้บริสุทธิ์
เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาเร่งด่วนอย่างยิ่งในภาวะสังคมที่มีความเคร่งเครียดสูงและประชาชนเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจและโควิด-19 ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าสารจากใบกัญชาสามารถนำมาดื่มเป็นน้ำชาเพื่อคลายความเครียดและรักษาโรคได้นานาชนิด ทั้งนี้ หากนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาและดำเนินการตามข้อร้องเรียนของตน ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องคำสั่งย้าย ร.ต.อ.จตุพล เทสินทโชติ สารวัตรสืบสวน สภ.ศรีราชา ที่จับกุมชาวบ้านปลูกกัญชาเพียงต้นเดียวนั้น นายวัชระ ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายตำรวจคนนี้ว่า เป็นนายตำรวจคนเดียวกับที่ตอนเป็นตำรวจจังหวัดอ่างทอง เคยให้ข้อมูลอันไม่เป็นจริงต่อศาล เพื่อเร่งรัดคดีหมิ่นประมาทให้ศาลจังหวัดอ่างทองออกหมายจับ นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที สื่ออาวุโสผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ช่อง News1 โดยให้การกับศาลว่า “ได้ติดตามตัวผู้ต้องหาไปยังภูมิลำเนาแล้วไม่พบตัว สอบถามชาวบ้านแจ้งว่าผู้ต้องหาไม่อยู่ เป็นบุคคลไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งจึงเชื่อว่าหลังก่อเหตุผู้ต้องหาได้หลบหนีไป”
ทั้งที่ข้อเท็จจริง นายยุทธิยง เป็นผู้ดำเนินรายการสภากาแฟทางโทรทัศน์ช่อง News1 ไม่ได้หลบหนีและมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่นายตำรวจคนนี้ก็ยังกล้าไปให้การต่อศาลที่ตรงข้ามกับข้อเท็จจริงในทางสังคม