หลัง “กองทัพภาคที่ 2” ออกคำสั่งห้ามส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงและยุทโธปกรณ์ผ่านด่านช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี ตั้งแต่คืนวันที่ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้รถบรรทุกน้ำมันจำนวนมากเปลี่ยนเส้นทางมารอข้ามแดนที่มุกดาหาร ขณะผู้ประกอบการหวั่นต้นทุนขนส่งพุ่งหากต้องอ้อมไปทางนี้
ตามคำสั่งของ กองทัพภาคที่ 2 ให้ควบคุมการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภท รวมถึงยุทโธปกรณ์และสิ่งของที่เกี่ยวข้อง ณ จุดผ่านแดนถาวร ช่องเม็ก ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี โดยให้งดการส่งออกเฉพาะสินค้าประเภทน้ำมันเชื้อเพลิงและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 14 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
คำสั่งดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายยุทธภัณฑ์และป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการขนส่งน้ำมันที่ใช้เส้นทางผ่านด่านช่องเม็ก
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบบรรยากาศการขนส่งน้ำมันบริเวณ ด่านพรมแดนมุกดาหาร–สะหวันนะเขต (สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 2)
พบว่ามีรถบรรทุกน้ำมันจอดรอข้ามแดนจำนวนมากกว่า 20 คัน เรียงยาวเต็มลานพักสินค้า
พนักงานขับรถรายหนึ่งเปิดเผยว่า ปกติรถบรรทุกน้ำมันจะมีการจอดรอข้ามแดนลักษณะนี้เป็นประจำ โดยเฉพาะวันจันทร์ที่มีปริมาณขนส่งสูง แต่ช่วงนี้ต้องจับตาเป็นพิเศษหลังมีคำสั่งห้ามขนส่งน้ำมันทางฝั่งอุบลราชธานี เนื่องจากอาจมีผู้ประกอบการจำนวนมากหันมาใช้เส้นทางผ่าน ด่านมุกดาหาร แทน
แหล่งข่าวในวงการขนส่งระบุว่า หากรถน้ำมันต้องเปลี่ยนเส้นทางจากช่องเม็กมาผ่านมุกดาหาร เพื่อส่งต่อไปยังประเทศกัมพูชา จะทำให้ระยะทางเพิ่มขึ้นหลายร้อยกิโลเมตร และส่งผลให้ ต้นทุนขนส่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะค่าพาหนะและค่าผ่านแดน
ขณะเดียวกัน หน่วยงานด้านความมั่นคงได้เพิ่มการเฝ้าระวังบริเวณแนวชายแดนอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการลักลอบขนน้ำมันออกนอกราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย
สถานการณ์ล่าสุดที่ ด่านมุกดาหาร ถือเป็นสัญญาณสำคัญของการเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งน้ำมัน หลังคำสั่งควบคุมเข้มของกองทัพภาคที่ 2 มีผลบังคับใช้ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างติดตามแนวโน้มปริมาณรถบรรทุกที่จะหลั่งไหลเข้ามาเพิ่มเติม เพื่อประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนอย่างใกล้ชิด.









