09.30 น. วันที่ 15 ก.ค. 2565 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการสอบสวนกลาง(บช.ก.) ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กทม.นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พา นายภัทรพล ตรีเดชา อายุ 27 ปี นายภานุพงศ์ ตรีเดชา อายุ 30 ปี สองพี่น้อง บุตรชายอดีตตำรวจ ร.ต.อ.สืบสวน ภ.จว.ปทุมธานี ผู้เสียหายซึ่งถูกวัยรุ่นในสถานบันเทิงใกล้ สภ.อ.ดอนตูม จ.นครปฐม ทำร้ายร่างกายจนโคม่าสลบไปนาน 8 วัน แล้วฟื้นเข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อพล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับบัญชาสอบสวนกลาง เพื่อขอความเป็นธรรมในคดีดังต่อไปนี้
[inline_related_posts title=”คุณอาจสนใจเรื่องเหล่านี้” title_align=”left” style=”list” number=”4″ align=”none” ids=”” by=”categories” orderby=”rand” order=”DESC” hide_thumb=”no” thumb_right=”no” views=”no” date=”yes” grid_columns=”2″ post_type=”” tax=””]
1.ช่วยส่งชุดสืบสวนติดตามดำเนินคดีผู้ต้องหาที่ร่วมกันทำร้ายร่างกายทั้งหมดเพราะท้องที่แจ้งว่าเกินความสามารถ
2.นำวงจรปิดส่งตรวจพิสูจน์ความคมชัดเพื่อขยายผลการดำเนินคดีเนื่องจากเกินศักยภาพท้องที่เหตุเพราะทางท้องที่แจ้งว่าภาพไม่ชัดทำให้ดำเนินคดีใครไม่ได้
3.ผู้เสียหายสงสัยว่าผู้ร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ทำให้ตำรวจท้องที่ดำเนินการไปอย่างล่าช้าเช่นเหตุเกิดวันที่ 1 พฤษภาคมแต่เพิ่งมีการลงบันทึกเลขคดีเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเกรงว่าคดีนี้จะไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงขอให้ตำรวจสอบสวนกลางตรวจสอบประเด็นดังกล่าวด้วย
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พี่ชายของผู้ร้องถูกดำเนินคดีในข้อหาพกพาอาวุธปืนในวันดังกล่าวเพราะเหตุยิงปืนขึ้นฟ้าเนื่องจากผู้ร้องถูกทำร้ายจนสลบแต่กลับไม่มีการดำเนินคดีฝ่ายที่มาทำร้ายผู้ร้องจึงต้องนำเรื่องนี้มาร้องที่กองบัญชาการสอบสวนกลางเพื่อขอความเป็นธรรม
นายภัทรพล ผู้เสียหายอ้างว่า ในคืนวันเกิดเหตุไปเที่ยวที่สถานบันเทิงแห่งนี้เป็นครั้งแรก และยอมรับว่า ได้ดื่มและมีอาการเมาสุรา โดยได้เดินเข้าไปเตือนกลุ่มวัยรุ่นคู่อริ ที่จับกลุ่มดื่มกิน และส่งเสียงดังที่โต๊ะข้างๆกันให้เบาเสียงลงหน่อย แต่ยืนยันไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้าไปหาเรื่อง ส่วนปืนที่พี่ชายพกพาไปด้วย เพราะทำงานอยู่ที่บ่อปลา ไม่มีที่เก็บจึงจำเป็นต้องพกปืนไปในรถยนต์ด้วย
ด้านนายรณณรงค์ อ้างว่า พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี จะดำเนินคดีผู้ก่อเหตุเพียง 1 คน ทั้งที่ข้อเท็จจริงในกล้องวงจรปิด มีผู้ร่วมก่อเหตุกว่า 10 คน โดยพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ให้เหตุผลว่ากล้องวงจรปิดไม่มีความชัดเจน เพียงพอ ดังนั้น จึงร้องขอให้ช่วยตรวจสอบภาพข้อมูลจากกล้องวงจรปิด และขอให้ช่วยส่งชุดสืบสวนติดตามตัวผู้ที่ร่วมกันทำร้ายร่างกาย ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ ตำรวจท้องที่เกิดเหตุอ้างว่า เกินศักยภาพที่สามารถทำได้
โดยผู้เสียหาย ยังข้อสังเกตว่า กลุ่มก่อเหตุเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่หรือไม่ จึงทำให้มีการสอบสวนลงเลขรับคดีล่าช้า ทั้งที่วันเกิดเหตุตั้งแต่ วันที่ 1 พฤษภาคม นอกจากนี้ ในคืนเกิดเหตุพี่ชายของผู้เสียหาย ยังถูกดำเนินคดีในความผิดฐานพกพาอาวุธปืน ทั้งที่ข้อเท็จจริงเจตนายิงปืนขึ้นฟ้า เพื่อช่วยผู้เสียหายที่ถูกทำร้ายร่างกายจนสลบไปแล้ว ซึ่งสาเหตุทั้งหมดนี้ ทำให้ผู้เสียหาย เกรงว่า จะไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดีนี้
นายภัทรพล ซึ่งอยู่ในอาการโคม่านาน 8 วัน เล่าประสบการณ์ว่าได้หลุดไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ส่วนตัวเชื่อในความเชื่อว่าอาจจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แม่ไปเคารพนับถือหรือบนบานสานกล่าวให้ปกป้องตนเอง สิ่งที่ตนเองเห็นในช่วงที่หลับไป คือไปอยู่ที่บ้านทรงไทย 2 ชั้น เป็นลักษณะบ้านไม้ข้างล่างเปิด โล่ง บริเวณใต้ถุนบ้านมีเศียรของพ่อแก่จำนวนมากตั้งอยู่ มีคนเดินพลุกพล่านตลอดเวลาตนเองเข้าใจว่าอาจจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น หรือดวงวิญญาณคนอื่น เพราะไม่คุ้นหน้า และไม่รู้จักกับใครเลย จนกระทั่งตนเองรู้สึกหิว แล้วมีพ่อแก่ใส่ชุดขาวเดินมาบอกตนเองว่า “หิวก็หยิบทานได้นะลูก” แต่ตนเองเห็นว่าเป็นของเช่นไหว้ จึงปฏิเสธและไม่กิน จนกระทั่งวันที่ 9 พ.ค. ตนเองฟื้นขึ้นมาก็ทราบว่าคดีไม่มีความคืบหน้า แต่ตนเองก็จำอะไรมากไม่ได้ เพราะทั้งเรื่องความทรงจำและสมองได้รับการกระทบกระเทือน ทุกวันนี้ยังมีอาการสมองบวม มีลิ่มเลือดไหล จึงต้องมีการกินยาสลายลิ่มเลือดต่อเนื่อง
เบื้องต้น ร.ต.ท.หญิง สาวิตรี วานิจัง รอง สว.(สอบสวน)กก.5 บก.ป.เป็นผู้รับเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป