“….ทนไม่ไหว ถูกคู่กรณีรุมยำกระทืบบนถนนแล้วหนี ติดตามตัวมาได้ไม่รับผิดชอบ ตั้งทนายสู้คดี ยกมือไหว้ ตร. ก่อนตระโกนลั่น “แล้วมึงทำกูทำไม” ยิงคู่กรณีดับต่อหน้าลูกเมีย ทนายโดนด้วยสาหัส…”
กรณีเกิดเหตุสะเทือนขวัญบนยิงสนั่นบน สน.หลักสอง เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.65 โดย นายพีรสิน (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี ใช้อาวุธปืน 9 มม.ยิง นายคมสัน อินทฤทธิ์ อายุ 33 ปีเข้าที่ร่างกายถึง 5 นัดเสียชีวิตคาที่บนโรงพัก และ นายอนุสรณ์ วิชาธร อายุ 33 ปี ทนายความถูกยิง 3 นัด ได้รับบาดเจ็บ อาการสาหัส ต่อหน้าพนักงานสอบสวน หลังเรียกผู้ตายและ นายพีรสิน (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี คู่กรณี มาไกล่เกลี่ยเหตุรถชนและชกต่อยกันเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว แต่ตำรวจสามารถจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้มาตกลงกันที่โรงพัก
สำหรับมูลเหตุนั้นเกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา นายพีรสิน ซึ่งเป็นพ่อค้าขายพริก กำลังขับรถกระบะออกจากบ้านพักย่านพระราม 2 ไปรับสินค้าที่ย่านหลักสอง และกำลังจะหลับบ้านพัก กระทั่งมาถึงช่วงซอยเพชรเกษม 90-92 ก็เห็นรถเก๋งฮอนด้าซิตี้ 5 ประตู ทะเบียนป้ายแดง ล-6048 กรุงเทพมหานคร ขับเข้ามาประกบจากทางด้านซ้าย โดยผู้ขับขี่ได้เปิดกระจกขว้างขวดใส่รถของ นายพีรสิน โดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องราวกันมาก่อน นายพีรสิน จึงได้จอดรถ แล้วเปิดกระจกเพื่อจะสอบถามสาเหตุ
และระหว่างที่ นายพีรสิน กำลังจะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน ก็ถูกปาขวดเข้ามาที่มือจนมือถือหล่นได้รับความเสียหาย แต่พอ นายพีรสิน จะปิดกระจกรถเพื่อจะขับหลบหนีเพราะเห็นท่าไม่ดี คู่กรณีกลับลงจากรถพร้อมเพื่อนชายอีก 1 คน ฉุดกระชากตัว นายพีรสิน ออกมาจากรถทางหน้าต่างฝั่งคนนั่งข้าง พร้อมกับรุมทำร้ายด้วยการใส่สนับมือต่อยที่ใบหน้าหลายครั้ง ก่อนที่พลเมืองจะช่วยกันพาส่งโรงพยาบาล โดยพบว่า ดั้งจมูกหัก ฟันหัก 3 ซี่ เบ้าตาบวมปิดทั้ง 2 ข้าง และมีเลือดออกนัยน์ตา อาการสาหัส
หลังเกิดเหตุญาติๆ ของ นายพีรสิน ได้โพสต์เฟซบุ๊กและนำคลิปเหตุการณ์ลงเพื่อหาเบาะแส กระทั่งตำรวจสามารถติดตามตัว นายคมสัน ผู้ตายเอาไว้ได้ กระทั่งวันนี้ (16 ธ.ค.) พ.ต.ท.กฤษณะ ทองบ้านบ่อ สว.(สอบสวน) สน.หลักสอง เจ้าของคดี ได้เรียกทั้งคู่มาตกลงกัน โดยผู้ตายมาพร้อมกับทนายความ เพื่อเจรจาชดใช้ค่าสินไหมทั้งกรณีทำร้ายร่างกาย นายพีรสิน และกรณีรถเฉี่ยวชนกัน
ระหว่างที่ นายพีรสิน เรียกร้องค่าเสียหายทั้งสิ้น 9 ล้านบาท ฝ่ายผู้ตายปฏิเสธยืนกรานว่าไม่สามารถชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวให้ได้ พนักงานสอบสวน จึงสรุปจะส่งสำนวนคดีฟ้องต่อศาล แต่จู่ๆ นายพีรสิน ก็เดินเข้ามาหาผู้ตายและทนายความที่กำลังนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะพนักงานสอบสวน ก่อนตะโกนถามว่า “แล้วมึงทำกูทำไม” จากนั้นยกมือไหว้ พ.ต.ท.กฤษณะ พร้อมกับพูดว่า “ผมขอโทษครับ” แล้วชักปืนออกจากกระเป๋าสะพาย ยิงรัวไป 8 นัด ก่อนหลบหนี
ทั้งนี้หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ได้เดินทางมาที่โรงพักควบคุมการสืบสวนด้วยตนเอง ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะเกิดเหตุการณ์ นายคมสัน ยังได้พาภรรยาและลูกสาววัย 1 ขวบ มาที่โรงพักและนั่งอยู่ในห้องพนักงานสอบสวนด้วย ทำให้ลูกน้อยต้องกำพร้าพ่อ จากเหตุการณ์ถูกกระหน่ำยิง ไปต่อหน้าต่อตา
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ระหว่างที่เจ้าหน้าที่อาสามูนิธินำร่างของ นายคมสัน ขึ้นรถ เพื่อนำส่งชันสูตรที่นิติเวช ร.พ.ศิริราช ภรรยาของ นายคมสัน ก็ได้เข้ามาร่ำไห้ต่อหน้าศพสามี จนญาติต้องเข้ามาปลอบใจและนำตัวออกไปสงบสติอารมณ์
น่าเศร้ากับพฤติกรรมของคนเรา เพียงอารมณ์ชั่ววูบ โกรธผู้อื่นที่ขับรถไม่ถูกใจตนเอง ถึงกับทำผิดกฏหมายด้วยการทำร้ายคนอื่นจนสาหัส หนีไปแต่ถูกตามจับได้ พอมาถึงโรงพักเตรียมทนายความมาพร้อม คงตั้งใจว่าสู้คดีทำร้ายร่างกาย แต่เมื่อผู้ได้รับความเสียหายรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม กฏหมายล่าช้าเกินไป จึงจัดการด้วยตนเอง แม้จะสาแก่ใจ แต่ตัวเองก็ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่าคนตาย เป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ที่ใช้รถใช้ถนน ต้องเตือนสติตัวเองให้ดี เมื่อต้องเข้าไปอยู่ในสภาวะเหตุการณ์แบบนี้
สำหรับตำรวจ พนักงานสอบสวนประเด็นการปล่อยให้ประชาชนสามารถพกพาอาวุธขึ้นไปเดินบนโรงพักได้ นับว่าบกพร่องในการตรวจสอบ คงต้องหาวิธีป้องกันอย่าให้เกิดเหตุ ระวังผู้คนอย่าให้สามารถพกพาอาวุธขึ้นโรงพักได้อย่างนี้อีก
และการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำความผิดควรต้องทำทันทีเพราะเป็นความผิดอาญาแผ่นดินยอมความไม่ได้ ไม่ควรจะเคลียร์ ใครผิด ใครถูกต้องดำเนินคดีตามกฏหมาย..การเคลียร์ก็เหมือนกับศาลเตี้ย จะจบที่ตำรวจได้อย่างไร กฏหมายไม่มีให้ทำได้..คนที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจะเครียดมาก..แต่ที่ผ่านๆมาจำต้องยอม..คนได้เปรียบชอบเคลียร์ให้เรื่องจบ ส่วนคนเสียเปรียบมักจะไม่เต็มใจ..และเครียดมาก
ปัญหาคือ คดีอาญา เคลียร์กันได้ที่โรงพักหรือ?
#สืบจากข่าว : รายงาน