“…ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานโจทก์และพนักงานสอบสวนไม่ได้ให้การพาดพิงไปว่าจำเลยเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด ส่วนข้อหาฟอกเงินนั้นในส่วนจำเลยที่ 1-2 และ 4 พยานโจทก์ก็ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้เช่นกัน และโจทก์ไม่มีหลักฐานอื่นมาประกอบ เช่น การนำบัญชีธนาคารของตนมาทำเป็นบัญชีบ่อน หรือ มีรายงานจากบัญชีบ่อนไปเข้าบัญชีตน หรือ มีข้อมูลการใช้โทรศัพท์ติดต่อกับคนร้ายที่หลบหนี กลับได้ความว่าสมุดบัญชีเป็นของบุคคลภายนอกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้ จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฟอกเงินด้วย นอกจากนี้ พยานโจทก์ยังนับว่ามีความผิดปกติไปจากวิสัยของคนร้ายที่มักจะถ่ายเททรัพย์สินหลายครั้งและเป็นจำนวนมาก ข้อเท็จจริงพบว่า พวกจำเลยมีการรับเงินไว้เพียงครั้งเดียว ขณะที่พยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยรับฟังได้ พยานโจทก์ทั้งหมดจึงยังเป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัยและไม่เพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้ พิพากษายกฟ้อง…”
พลันคำสั่งศาลออกมาอย่างนี้ เมื่อ วันที่ 23 ธ.ค.65 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ถึงกับต้องโพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัวว่า ให้จับตา สำนวนตำรวจอ่อนคดี “หลงจู๊” อาจทำ “ตู้ห่าว” ลอยนวลเหมือน “หลงจู๊สมชาย” โดย “ชูวิทย์” ไม่มั่นใจฝีมือตำรวจ หวั่นคดี “ตู้ห่าว” ตามรอยคดี “หลงจู๊สมชาย” ที่โดนข้อหา ตามยึดทรัพย์อ่วมอรทัยในช่วงแรก แต่ตอนจบเดินออกจากคุกอย่างบริสุทธิ์ เพราะสำนวนส่งอัยการ “หลักฐานอ่อน”
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปรียบเทียบคดี “หลงจู๊” กับ “ตู้ห่าว” ว่า
คดี “หลงจู๊สมชาย” เป็นข่าวดังเมื่อปีที่แล้ว
เพราะตำรวจจับกุมบ่อนการพนัน และขยายผลยึดอายัดทรัพย์สินได้มากมาย
หลงจู๊ โดนอ่วมอรทัยในช่วงแรก ทั้งข้อหาการพนัน และตามด้วยสูตรมูลฐาน “ฟอกเงิน” ตามยึด อายัดกันจ้าละหวั่น
แต่เมื่อสำนวนส่งอัยการ และไปสู้คดีกันที่ศาล
กลับตกม้าตายตอนจบ ศาลยกฟ้อง โดยบอกว่า “หลักฐานอ่อน”
คดี “ตู้ห่าว” เช่นเดียวกัน ตอนแรกก็โดนรุมทึ้ง มามอบตัว โดนจับเข้าคุก คัดค้านการประกันตัว
จากนั้นก็มาเป็นระลอก ขุดโน่น คุ้ยนี่
ผมถึงย้ำนักย้ำหนาว่า อยู่ที่พยานหลักฐานใน “สำนวน”
ที่ดูมั่นใจตอนแรก เป็นผู้ร้ายอย่าง “หลงจู๊ และ ตู้ห่าว”
คอยดูตอนจบ กลายเป็นหนังคนละม้วน พระเอกตกม้าตาย
ส่วนผู้ร้ายกลับมาเป็นพระเอก เดินออกจากคุกอย่างบริสุทธิ์
เพราะคนพวกนี้เป็นคนรวย ที่สามารถจ้างทนายฝีมือดี เมื่อขึ้นต่อสู้คดีในศาล
ใช้พยานหลักฐานในการสู้ ไม่ใช่ใช้ปาก หรือยศตำแหน่ง
ผมจึงคอยตามจิกตามจี้ และหาทางอุดรอยรั่ว
สิ่งที่ผมต้องไปตาม ไม่ว่าร้องอัยการสูงสุด ดีเอสไอ เป็นคดีอาชญากรรมข้ามขาติ หรือมูลฐานฟอกเงิน
เพราะผมมองเห็นสิ่งผิดปกติตั้งแต่ต้น ของคดี “ตู้ห่าว”
เริ่มจาก เอา รปภ. จับเป็นผู้ต้องหา ขังแล้วเอากลับมาเป็นพยาน
ปล่อยผู้ต้องหาคนสำคัญ หรือปล่อยรถของกลาง ด้วยน้ำมือของตำรวจสมคบคิดกันเอง
ตลอดจนการไม่ตั้งข้อหา “ฟอกเงิน” ตั้งแต่ต้น
แม้ว่า ผบ.ตร. จะรับปากผมวันนี้ว่า อย่างไร ตำรวจ อัยการ ก็ต้องตั้งอยู่แล้ว
แต่เมื่อเวลาผ่านไปแต่ละวัน มันหมายถึงการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน ยิ่งช้า ประชาชนยิ่งเสียหาย
แทนที่จะจับอายัด กลายเป็นว่าแค่วันสองวัน เหลือเงินติดอยู่ในบัญชีแค่แสนเดียว
นี่ผ่านไปจากวันเป็นเดือนแล้ว หากท่าน ผบช.น. เลือกทางนี้ตั้งแต่ต้น
ก็คงไม่เหนื่อยอย่างทุกวันนี้
“ตู้ห่าว” มันจบไปแล้วครับท่าน ไม่มีใครช่วยได้ เพราะเหมือนหมาหัวเน่า
แต่อย่าเบาใจไปนะครับ เหมือน “หลงจู๊สมชาย” ทำไปทำมากลายเป็นหัวราชสีห์
เพราะสำนวนของตำรวจ อ๊อน อ่อน
นายชูวิทย์ ระบุ….
คดีช็อคความรู้สึกคนไทยอีกคดี หากเราย้อนรอยไปดูคดีดังอีกคดี คือ “คดีบอส กระทิงแดง”สังคมไทยคงจำได้ดี เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงยืนยันว่า นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ “บอส” ทายาทผู้ก่อตั้งเครื่องดื่มชูกำลังชื่อดัง หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งหมดในคดีขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 หลังจากพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ทำให้คนไทย คนบนโลกนี้ ช็อคโลกไปเลย
นายวรยุทธ ถือเป็นลูกคนที่สามของ นายเฉลิม อยู่วิทยา เจ้าสัวกระทิงแดง จากการจัดอันดับมหาเศรษฐีของนิตยสารฟอร์บส์ ปี 2563 นายเฉลิม อยู่วิทยา พ่อของนายวรยุทธ เป็น 1 ใน 8 ผู้ที่มีรายชื่อในทำเนียบที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น เขาร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 2 ของเมืองไทย ต่อจากพี่น้องตระกูลเจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยนายเฉลิมมีทรัพย์สินทั้งสิ้น 20,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 646,000 ล้านบาท)
ข่าวรายงานว่า เดิมนายวรยุทธถูกแจ้งข้อหาทั้งหมด 5 ข้อหา ได้แก่
- ข้อหาเมาแล้วขับ อัยการสั่งไม่ฟ้อง
- ขับรถเร็วเกินกำหนด หมดอายุความไปแล้วเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2556
- ขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินเสียหาย หมดอายุความไปแล้วเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2556
- ชนแล้วหนี หมดอายุความไปแล้วเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2560
- และข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งมีกำหนดจะหมดอายุความในวันที่ 3 ก.ย. 2570
ซึ่งหมายความว่านายวรยุทธ มีข้อหาเดียวติดตัวก่อนที่อัยการจะมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีรอบล่าสุด
เหตุการณ์ เกิดขึ้นประมาณ ตี 5 ของวันที่ 3 กันยายน 2555 เมื่อรถเฟอร์รารี่ สีบรอนซ์เทา วิ่งด้วยความเร็วสูงพุ่งชนรถของ ด.ต.วิเชียร กลี่นประเสริฐ อย่างแรง บริเวณซอยสุขุมวิท 47 ร่างของดาบวิเชียรถูกลากไกลออกมา 200 เมตร เสียชีวิตที่ซอยสุขุมวิท 49 จากนั้นเฟอร์รารี่ ขับหลบหนี
ตรวจสอบพบรอยคราบน้ำมันเครื่องยนต์ ไหลเป็นทางยาว ตั้งแต่ปากซอยสุขุมวิท 53 ไปจนถึงบ้านหลังหนึ่งในซอยนั้น เป็นตึกสูง 6 ชั้น เนื้อที่กว่า 3 ไร่ มีกำแพงสูง 3 เมตร ประตูทางเข้าบ้านเป็นประตูเหล็ก
ตำรวจนำกำลังนับร้อยคนเข้าล้อมบ้าน รอหมายค้นแล้วจึงเข้าไปตรวจค้นภายในบ้าน พบ รถเฟอร์รารี่ไม่มีป้ายทะเบียน มีร่องรอยการชนยับเยิน กระจกหน้ารถแตกเป็นวงกว้าง ถุงลมนิรภัยกางออก และมีเครื่องหมายนายดาบติดอยู่ที่กระจก
.
เวลาต่อมา สารวัตรป้องกันปราบปราม (สวป.) สน.ทองหล่อ ในขณะนั้น นำตัว นายสุเวศ หอมอุบล อายุ 45 ปี พ่อบ้าน (คนงาน) เข้ามอบตัว ที่ สน.ทองหล่อ
.
นายสุเวศให้การอ้างว่า เป็นคนขับรถเฟอร์รารี่ พุ่งชนรถจักรยานยนต์ของ ดาบวิเชียร ด้วยตัวเอง แต่ระหว่างการสอบสวน นายสุเวศ เล่าเหตุการณ์ไม่ได้ ให้การวกวน บอกรายละเอียดไม่ได้ ร่างกายไม่มีร่องรอยบาดแผลไม่มีรอยขีดข่วน ถูกสอบสวนจนกระทั่งยอมรับว่า “มารับผิดแทนนาย” สำนึกในบุญคุณ จึงสมอ้างเป็นคนขับ
.
สวป.ถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัย มีคำสั่งย้ายไปช่วยราชการ ต่อมากรรมการสอบสวนมีคำสั่งให้ออกจากราชการชั่วคราว จนกระทั่งเรื่องเงียบ 5 ปีต่อมา ขยับเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน สน.ท่าเรือ
ส่วนพ่อบ้าน “อยู่วิทยา” ถูกแจ้งข้อหาส่งฟ้องศาลคดีให้การเท็จ (ไม่ทราบว่า ถูกลงโทษหรือไม่)
ข้อหาขับรถขณะมึนเมาสุรา บอสอ้างว่าขณะขับรถไม่ได้เมาสุรา และที่ตำรวจตรวจพบแอลกอฮอล์ เนื่องจากเมื่อกลับมาถึงบ้านเกิดความเครียด จึงนำเหล้าพ่อมาดื่มจนเมา…เมาหลังจากขับรถชนตำรวจตาย
แม้แต่เรื่องการขับรถด้วยความเร็ว พนักงานสอบสวนยังหาพยานหลักฐานได้อย่างยากเย็น ต้องพิสูจน์กันไปมา มากมาย จากเรื่องไม่น่าจะซับซ้อน กลายเป็นเรื่องซับซ้อนวุ่นวายไปหมด แปลกมั้ย?
คดี “หลงจู๊สมชาย” ก็เช่นกัน หลงจู๊สมชาย หรือ นายสมชาย จุติกิติ์เดช ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าของบ่อนพนันหลายแห่งในภาคตะวันออก และเป็นเจ้าของตู้ม้า ตู้สล็อต หลายแห่งทั่วประเทศ ถูกจับกุมตัวข้อหาร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนัน พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต และกระทำความผิดที่ได้ลักลอบขนย้ายตู้เครื่องจักรกลไฟฟ้า (สล็อตแมชชีน) โดยผิดกฎหมาย
ย้อนรอยเรื่องราวเหตุการณ์เกิดขึ้น ในช่วงเดือนธันวาคม 2563 เมื่อมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 หลายคนใน จ.ระยอง เมื่อสอบสวนแล้ว จึงพบว่าส่วนใหญ่รับเชื้อมาจากที่เดียวกันคือบ่อนระยอง ทำให้เกิดคำถามว่ามีการเปิดบ่อนได้อย่างไร ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่า จ.ระยอง ไม่มีบ่อน คนติดโควิด-19 มาจากบ่อนที่ลักลอบเปิดต่างหาก
ตำรวจบอกในวันนั้นว่า จากการตรวจสอบพบว่า บัญชีธนาคารของกลุ่มผู้ต้องหามีเงินหมุนเวียนในบัญชีจำนวนหลายสิบล้านบาท เงินดังกล่าวได้รับการยักย้ายถ่ายเทมาจากเงินที่กลุ่มผู้ต้องหาเปิดให้มีการลักลอบเล่นการพนันก่อนหน้านี้ โดยบัญชีธนาคารของกลุ่มผู้ต้องหาจะมีการทำธุรกรรมทางการเงินในมูลค่าที่สูงกว่าปกติ และยังตรวจสอบพบอีกว่า กลุ่มผู้ต้องหาจะมีการนำเงินไปแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญกษาปณ์เพื่อนำไปใช้กับตู้สล็อตแมชชีนอยู่บ่อยครั้ง
ตำรวจชั้นผู้ใหญ่โดดเข้ามาควบคุมคดีนี้ด้วยกันมากมาย เหมือนคดีบอสกระทิงแดง มีการโยกย้ายตำรวจในพื้นที่ พร้อมส่งเสียงคำรามเสียงดังว่าจะเอาจริงเอาจัง จะดำเนินคดีด้วยความเด็ดขาด สำทับสำนวนคดีให้รอบคอบ รัดกุม มีแต่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทั้งนั้นที่ให้ข่าว
แต่วันนี้ ศาลยกฟ้องหลงจู๊สมชายไปแล้ว ชี้ พยานหลักฐานไม่มีน้ำหนัก
ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด
ส่วนข้อหาฟอกเงินนั้นในส่วนจำเลยที่ 1-2 และ 4 พยานโจทก์ก็ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้เช่นกัน
และโจทก์ไม่มีหลักฐานอื่นมาประกอบ เช่น การนำบัญชีธนาคารของตนมาทำเป็นบัญชีบ่อน หรือ มีรายงานจากบัญชีบ่อนไปเข้าบัญชีตน หรือ มีข้อมูลการใช้โทรศัพท์ติดต่อกับคนร้ายที่หลบหนี กลับได้ความว่าสมุดบัญชีเป็นของบุคคลภายนอกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้
จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฟอกเงินด้วย นอกจากนี้ พยานโจทก์ยังนับว่ามีความผิดปกติไปจากวิสัยของคนร้ายที่มักจะถ่ายเททรัพย์สินหลายครั้งและเป็นจำนวนมาก ข้อเท็จจริงพบว่า พวกจำเลยมีการรับเงินไว้เพียงครั้งเดียว ขณะที่พยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยรับฟังได้ พยานโจทก์ทั้งหมดจึงยังเป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัยและไม่เพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้ พิพากษายกฟ้อง
แล้วตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในวันนั้นหายไปไหนหมด น่าจะออกมาแถลงหรือจะพูดเรื่องนี้อย่างไรบ้างว่า…ทำไมสำนวนถึงอ่อน เป็นเพราะตำรวจสอบสวนมือไม่ถึง หรือเพราะมีใครไปเล่นแร่แปรธาตุ ดึงเข้าส่วนพยานที่ไม่สำคัญ ชักออกส่วนที่สำคัญหรือเปล่า จึงทำให้สำนวนอ๊อนอ่อน
แล้วคดีตู้ห่าว ที่มีความเกี่ยวพันถึงระดับนายตำรวจระดับ พล.ต.อ. 2 คน พล.ต.ท.อีก 1 คน อดีตรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีก 1 คน ไม่รวมข้าราชชั้นผู้น้อยอีกจำนวนไม่น้อย ที่มีส่วนรับประโยชน์จากการทำธุรกิจของตู้ห่าว ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ 2 คดีแรก
คดี จะอ๊อน อ่อน เหมือนที่คุณชูวิทย์ ว่าไว้มั้ยครับท่าน?
อย่าให้คนเขาพูดกันว่า “คนจนติดคุกง่าย แต่ออกยาก ส่วนคนรวยติดคุกยากแต่ออกง่าย” เป็นเรื่องจริงนะครับ!!!
#สืบจากข่าว : รายงาน