ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส., พ.ต.อ.อริยพล สินสอน รอง ผบก.ปทส.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.อ.ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ ผกก.4 บก.ปทส., พ.ต.ท.ชานนท์ รัตนประทีป สว.กก.4 บก.ปทส., พ.ต.ท.ยศวัฒน์ เอกกุล สว.กก.4 บก.ปทส. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปทส. และชุดปฎิบัติการสืบสวนปราบปรามจังหวัดตาก, ชุดปฏิบัติการพิเศษ กก.4 บก.ปทส. ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ตชด.346 เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ตก.6 (ร่มเกล้า) เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอพบพระ สนธิกำลังกว่า 50 นาย
สถานที่ตรวจสอบ พื้นที่่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่สอด (พื้นที่เตรียมการอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ)
พฤติการณ์ เนื่องด้วย บก.ปทส. ได้รับการประสานข้อมูลเรื่องการลักลอบทำไร่ฝิ่น ในพื้นที่่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่สอด (พื้นที่เตรียมการอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ) จากสถาบันสำรวจและติดตามการปลูกพืชเสพติด (สพส.) ต่อมาในวันที่ 5 ม.ค. 66 คณะเจ้าหน้าที่ได้ทำการลาดตระเวนยังบริเวณพื้นที่เป้าหมายด้วยวิธีการเดินเท้า พบว่ามีผู้ลักลอบปลูกฝิ่นแทรกอยู่ในป่าเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่อยู่จริง อีกทั้งยังมีการหลบเลี่ยงการตรวจสอบทางอากาศเนื่องจากอยู่ติดตะเข็บชายแดน สำหรับพื้นที่ที่มีการลักลอบปลูกฝิ่นนั้น เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างประเทศไทย และเมียนมา อยู่ในพื้นที่ป่าเขาสูงชัน เจ้าหน้าที่ต้องเดินเท้าลัดเลาะไปตามสันเขาเพื่อเข้าถึงพื้นที่
จากการตรวจสอบไร่ฝิ่น พบว่ามีต้นฝิ่นสูงประมาณ 100-150 เซนติเมตร โดยพบร่องรอยการกรีด และเก็บขี้ฝิ่น (ยาง) ไปแล้วก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้กระทำความผิดได้ทิ้งร่องรอยใหม่ของการกรีดตัดฝิ่นไว้ในไร่ดังกล่าว จากการตรวจสอบพบว่ามีร่องรอยการตัดฝิ่นที่ไม่เป็นระบบระเบียบ และมีต้นฝิ่นบางส่วนที่ยังไม่สามารถตัดได้ทัน เจ้าหน้าที่คาดว่า ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเดินทางไปถึงพื้นที่ อาจมีผู้ทำหน้าที่ดูต้นทาง ส่งสัญญาณแจ้งให้คนงานรีบกรีดฝิ่นให้เสร็จก่อนการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ และเมื่อถึงเวลาที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ กลุ่มผู้กระทำความผิดได้อาศัยความชำนาญในพื้นที่หลบหนีการจับกุมไปได้ โดยหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้เร่งทำลายไร่ฝิ่นทั้งหมด และจะได้สืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดดังกล่าวต่อไป นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้เฝ้าระวังพื้นที่ในป่าลึก เพื่อเป็นการป้องปรามผู้ที่จะกลับเข้ามาลักลอบดูไร่ฝิ่น และเพื่อเตรียมการลาดตระเวนตามแผนอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
ต่อมาในวันที่ 6 ม.ค.66 ระหว่างที่คณะเจ้าหน้าที่กำลังทำการลาดตระเวนในพื้นที่เป้าหมายตามแผนการปฏิบัติ ได้พบกลุ่มคนจำนวนหนึ่งขับขี่รถยนต์กระบะออกจากพื้นที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง หมู่ 2 ต.คีรีราษฎร์ อ.พบพระ จ.ตาก อย่างรวดเร็ว มีเหตุอันควรสงสัย เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการเข้าตรวจสอบยังพื้นที่ที่กลุ่มคนดังกล่าวขับขี่รถออกมา เมื่อไปถึงพบมีการแพ้วถางพื้นที่ป่า ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่สอด โดยมีการแพ้วถางหญ้า ตัดต้นไม้เล็กโดยรอบ และพบการเตรียมเผาต้นไม้ใหญ่โดยขุดเจาะกลางลำต้นไม้เพื่อเตรียมการจุดเผาต่อไป จนพื้นที่ป่าดังกล่าวกลายเป็นที่โล่ง เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจยึดพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกจำนวน 1 แปลง เนื้อที่จำนวน 3-0-08 ไร่ พร้อมด้วยของกลางเพื่อนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.พบพระ เพื่อให้ดำเนินตามกฎหมาย และจะได้ทำการสืบสวนจับกุมตัวผู้กระทำความผิดต่อไป จากนั้นจึงถอนกำลังออกจากพื้นที่ก่อนพลบค่ำเพื่อความปลอดภัย
ทั้งนี้การตัดตอนทำลายไร่ฝิ่น ในพื้นที่ จังหวัดตาก และการตรวจยึดคืนพื้นที่ป่านั้นถือเป็นนโยบายที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดอีกทางหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมายังคงพบการลักลอบปลูกกันอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งฝิ่น (Opium) ถือเป็นยาเสพติดถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เพราะมีฤทธิ์เข้าไปกดระบบประสาท ส่งผลให้ผู้เสพมีอาการเสพติดทั้งทางร่างกาย จิตใจ และยังมีภาวะขาดยาทางร่างกายและทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด และยังเป็นสารตั้งต้นของยาเสพติดอีกหลายประเภท ผลเสียของฝิ่นไม่เพียงส่งผลต่ออนาคตของตัวผู้เสพเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้อื่นในสังคม เด็ก และเยาวชน อาจได้รับผลกระทบจากอาการมึนเมาจากการเสพยาเสพติด และเป็นสิ่งที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
อีกประการ การตรวจยึดพื้นที่ป่านั้นยังคงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เพื่อป้องปรามการบุกรุกที่พบมากขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ทั้งยังเป็นการพิทักษ์และรักษาไว้ซึ่งผืนป่าของประเทศไทย อันเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ให้คงอยู่สู่รุ่นลูกหลานสืบไป
ตำรวจสอบสวนกลางขอเตือนภัยถึงพี่น้องประชาชนว่า ต้องไม่เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการยาเสพติดนี้ กล่าวคือ “หยุดปลูกฝิ่น” เพื่ออนาคตของลูกหลานของท่าน อีกทั้งยังเป็นการลดการบุกรุกป่า เพื่อสร้างความสมดุลในธรรมชาติต่อไป ทั้งนี้หากพบบุคคลที่มีพฤติกรรมการการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สามารถแจ้งเบาะแสมาที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, สายด่วน 1136