พ่อแม่ลูกคดียาเสพติดเมื่อ 14 ปีก่อนร้อง บก.ป. โดน ตร.ปทุมฯ ชุดจับกุม พยามยามฆ่า ไฟชอร์ต ปล้นทรัพย์ และพรากผู้เยาว์
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 14 กพ.2565 ที่ ศูนย์แจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม. นางมน พันธแสน อายุ 48 ปี มารดา พร้อมบุตรสาว 2 คน อายุ 24 และ 26 ปี และ นายกล้วย สามี อายุ 53 ปี มากับนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมนเข้าพบ พ.ต.ต.นันพิพัฒน์ ผังคี สว.(สอบสวน) กก.2 บก.ป.แจ้งความดำเนินคดี พ.ต.ท.นายหนึ่ง ซึ่งเป็น หน.ชุดสืบตำรวจภูธรจังหวัดปทุมกับพวก 8-12 นาย ในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าและร่วมกันปล้นทรัพย์ร่วมกันพรากผู้เยาว์ โดยถูกตำรวจชุดจับกุมใช้สายไฟช๊อต ใช้ผ้าคาดตาและใช้ถุงขาวคลุมหัว ซ้อมจนสลบคาเท้าและจับลูกสาวทั้งสองคนไปกักขังเป็นตัวประกัน
นายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า ได้พาครอบครัวนี้ พ่อเป็นผู้ต้องหาคดียาเสดติดเมื่อ 14 ปีก่อน มาร้อง บก.ป.ให้ดำเนินคดีกับ ตร.ชุดจับกุมใน 3 ข้อหา คือ ร่วมกันพยายามฆ่า ร่วมกันปล้นทรัพย์ และร่วมกันพรากผู้เยาว์ ชุดจับกลุ่มดังกล่าวได้บุกเข้ามาภายในบ้านและควบคุมตัวครอบครัวผู้ต้องหารวม 4 คน โดยกล่าวอ้างว่าภายในบ้านมียาเสพติด แต่เมื่อมีการตรวจค้นภายในบ้านก็ไม่พบของกลาง ตำรวจชุดดังกล่าวจึงควบคุมตัวปากคำขยายผลที่ ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี ก่อนจะแยกตัวตนเองและสามีไปสอบแยกที่เซฟเฮาส์แห่งหนึ่งโดยมีการใช้วิธีทรมานด้วยการช็อตไฟฟ้า รุมทำร้ายร่างกายและใช้ถุงพลาสติกครอบศีรษะ เพื่อให้รับสารภาพแล้วบอกที่ซ่อนยาเสพติดแต่ แต่ก็ไม่ได้รับสารภาพ จนกระทั่งชุดสืบสวนอีกชุดหนึ่ง พบของกลางยาเสพติดเกือบ 4 พันเม็ด ที่นอกรั้วบ้าน ตำรวจจึงนำตัวกลับมาที่บ้านและบังคับให้เซ็นรับทราบข้อกล่าวหา
ด้านนายกล้วย สามี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวบอกว่าตนเองไม่ยอมรับสารภาพและต่อสู้มาถึง 3 ศาล ติดคุกอยู่นาน 14 ปี ก่อนจะได้พระราชทานอภัยโทษออกมา จึงตัดสินใจร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานรัฐ ทั้งกระทรวงยุติธรรม และ ผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่ก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ จึงเดินทางมาเข้าแจ้งความกับตำรวจกองปราบปรามให้ช่วยเรื่องคดี ที่เมียอละลูกถูกทำร้ายร่างกาย
ขณะที่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ที่เดินทางมาแจ้งความในวันนี้ตั้งใจจะดำเนินคดีในข้อหาทำร้ายร่างกาย พรากผู้เยาว์ ภรรยาและลูกของผู้ต้องหา จากการตรวจสอบพบว่าคดีดังกล่าวมีข้อพิรุธหลายอย่าง ตั้งแต่การเข้าตรวจค้นที่ไม่มีหมายค้นและหมายจับ และคำให้การของผู้ต้องหาชาวลาวที่ซักทอดมายังสามีที่เป็นผู้ต้องหา ที่ยอมรับและเป็นเจ้าของยาเสพติด และมีการฟ้องซ้ำในชั้นอัยการทั้งที่ไม่ได้สอบปากคำเพิ่ม และพบว่าในปีที่เกิดเหตุ ก.ค.2550 ชุดจับกลุ่มดังกล่าวมีการจับกุมในลักษณะนี้หลายคดีแต่ก็ไม่เคยถูกดำเนินการทางวินัยหรืออาญา
ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์สอบถามข้อมูลจาก พ.ต.ท.บุญยิ่ง บัณทิตไทย รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี (ยศและตำแหน่งปัจจุบัน) ที่ถูกกล่าวอ้างถึง ได้ตอบปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ถูกร้องเรียน ยืนยันตนเองและชุดจับกลุ่มในวันนั้นปฏิบัติตามหน้าที่อย่างถูกต้อง ส่วนการแจ้งความกลับก็ถือเป็นสิทธิ์ ส่วนตัวก็จะสู้คดีต่อไป พร้อมย้ำชัดว่า ไม่มีการถูกบังคับยัดยาเสพติดให้ผู้ต้องหารวมถึงการทำร้ายร่างกายและรีบทรัพย์ ตามที่ถูกกล่าวอ้างอย่างแน่นอน
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้ร้องและดำเนินการรวมรวมพยานหลักฐานเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป