นายมานะ ชนะสิทธิ์ หรือ อดีต สจ.หน่อย สมาชิกพรรคเพื่อไทย แถลงการณ์ หลังไม่ได้รับเลือกเป็นว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 2 จันทบุรี เผยยอมรับคำตัดสินของพรรคเพื่อไทย
วันที่ 18 มีนาคม2566 ณ.ออฟฟิศ บ้านเลขที่ 44/21 หมู่ 6 ตำบลจันทนิมิต อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี แถลงการณ์ นาย มานะ ชนะสิทธิ์ หรือ อดีต สจ.หน่อย ขอกราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องชาวจันทบุรีที่รักใน ประชาธิปไตย ที่เคารพทุกท่าน โดยเฉพาะพี่น้องในเขตเลือกตั้งที่ 2 ที่ผมเสนอตัวลงสมัครรับ เลือกตั้ง ส.ส. ในครั้งนี้ครับ
ในวันนี้ “พรรคเพื่อไทย” ได้ประกาศตัว ว่าที่ผู้สมัครของพรรคชัดเจนครบถ้วนทั้ง 400 เขตแล้ว ผมขอแสดงความยินดีกับ “ว่าที่ผู้สมัครของพรรคทั้ง 3 ท่าน” ที่ได้รับเลือกจาก
“พรรคเพื่อไทย” ในครั้งนี้ด้วยครับ ก่อนอื่นผมต้องขอโทษพี่น้องในเขต 2 ทุกท่าน ที่ทำให้สับสนในเรื่องของตัวผู้สมัคร และป้ายหาเสียงที่ขึ้นคู่กัน 2 ป้าย โดยเป็น ของผมเอง กับของน้อง “วันทิต ตั้งรักษาสัตย์” และผมต้องขอโทษน้อง “วันทิต” ด้วย ที่ทำให้เกิดความสับสน แต่สิ่งที่ผมทำไปนั้น ผมไม่ได้กระทำเองโดยพละการ เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางพรรคฯ ได้ แจ้งให้ผมดำเนินการรับสมัครสมาชิกพรรคฯ เพิ่มเติม และต่ออายุสมาชิกพรรคเดิมที่มีอยู่ และให้รีบแต่งตั้งตัวแทนพรรคฯ ประจำจังหวัดจันทบุรี เนื่องจากตัวแทนพรรคเพื่อไทยในจังหวัดจันทบุรีนั้น ปัจจุบันไม่มีซึ่งก่อนหน้านี้ผมเป็นเพียงผู้เดียวที่พรรคฯ ได้แจ้งให้ดำเนินการซึ่งในเบื้องต้นทางพรรคฯ ได้มีการอนุญาตให้ผมดำเนินการ ในเรื่องดังกล่าว จึงเป็นการสร้างความมั่นใจให้ผม ผมจึงได้จัดทำป้ายแนะนำตัว ติดตั้งตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างที่พี่น้องประชาชนได้เห็นกัน ในวันนี้ผมจึงมาขอชี้แจงตามนี้ครับ ส่วนในเรื่องของป้ายผู้สมัครนั้น ผมจะเร่งดำเนินการเก็บป้ายดังกล่าวโดยเร็วเพื่อไม่ให้พี่น้องประชาชนสับสนอีกต่อไป
วันนี้ ผมน้อมรับการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทย และเคารพตามที่มติพรรคสรุป ในการคัดเลือกตัวผู้สมัคร ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตามส่วนเส้นทาง ทางด้านการเมืองนั้น ตัวผมเองก็ยังคงเดินบนเส้นทางนี้ต่อไปครับ แต่จะเดินอย่างไรนั้นปัจจุบันยังไม่ได้ตัดสินใจ ซึ่งเรื่องนี้เมื่อตัดสินใจแล้ว จะแจ้งให้ทุกท่านได้ทราบในอีกครั้งหนึ่ง
ความในใจอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าเป็นอีกเหตุผลหลัก ที่ผมไม่ได้รับเลือกจากพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้น่าจะมาจาก ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งใน อบจ. ที่เขาเกิดความไม่พอใจในตัวผม และทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้พรรคฯ เลือกผมลงรับสมัคร โดยทำการเข้าพบผู้ใหญ่ในพรรคฯ หลายท่านใช้หลายวิธีการ และหลายพรรคการเมือง ซึ่งผมจะไม่ขอเอ่ยว่าใช้วิธีอย่างไร
เนื่องจากเขาผู้นั้นคิดว่า ที่ผมแพ้การเลือกตั้ง นายก อบจ. เมื่อปี 2563 นั้น ทำให้ผมเกิดความไม่พอใจ
จึงได้ทำการร้องเรียนเขาในเรื่อง “คดีมูลนิธิพุทธมณฑลจังหวัดจันทบุรี” ที่ได้เป็นกระแสข่าวใหญ่เมื่อปี เดือนตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา อย่างที่เขาพูดกับนักข่าวสื่อต่าง ๆ ในวันที่ตำรวจ
สอบสวนกลาง ปปป. เข้าค้นจับกุมแจ้งข้อกล่าวหาเขาในวันนั้น โดยความเข้าใจว่าเขาถูกผมกลั่นแกล้งใส่ร้ายจากเรื่องการเมือง
ในโอกาสนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี ผมขอชี้แจงข้อเท็จจริง เรื่องดังกล่าว ซึ่งผมได้รับทราบ และเก็บความในใจนี้มานานมากแล้ว ผมจึงได้รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งมาบอกเล่าที่มาที่
ไปจากกรณีนี้ ต้องขอเล่าย้อนกลับไปตั้งแต่ต้น ที่มาของเรื่องนี้ครับ
เรื่องการก่อสร้างอาคาร “มูลนิธิพุทธมณฑลจังหวัดจันทบุรี” นี้ – โครงการเริ่มการพูดคุยเรื่องการสนับสนุนประมาณปี 2550 โดยนายก อบจ.จันทบุรี, มูลนิธิ พุทธมณฑลจังหวัดจันทบุรี, สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดจันทบุรี, และผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี – อบจ.จันทบุรี ตกลงเข้าไปสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างให้แก่มูลนิธิพุทธมณฑล
จังหวัดจันทบุรีโดยแบ่งจ่ายเงินสนับสนุนให้เป็นรายปีๆ ละ 10 ล้านบ้าง 15 ล้านบ้าง ทุกปี โดยสนับสนุนตั้งแต่ปี 2551-2556
-ประมาณปี 2555 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินจังหวัดจันทบุรี สตง. เข้าไปตรวจสอบการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจาก อบจ. โดยการตรวจสอบย้อนหลังทุกปี
ปรากฏว่าในปี 2554-2555 จำนวน 2 ปีรวมกัน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณรวม 5 ครั้ง รวมกันเป็นเงิน 30 ล้านบาท ผลการตรวจสอบว่า การก่อสร้างอาคารมูลนิธิฯ ไม่มีแบบแปลนการก่อสร้าง และแบบแปลนที่นำมาชี้แจงไม่ถูกต้อง และงบประมาณที่ขอสนับสนุน 30 ล้านบาท แต่ใช้ก่อสร้างไปจริง 12 ล้านบาทเศษ และเงินส่วนที่เหลือ 17 ล้านบาทเศษ หายไปโดยไร้ร่องรอย ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใครเป็นผู้เก็บไว้ หรือผู้ใดเอาไป สตง.จึงสั่งให้มูลนิธิพุทธมณฑลจังหวัดจันทบุรี คืนเงินที่เหลือแก่ อบจ.จันทบุรี แต่ก็ไม่คืน
-ในปี2559 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินจังหวัดจันทบุรีสตง. ได้มีหนังสือแจ้งมาที่ อบจ.จันทบุรี ให้เรียกคืนเงิน 17 ล้านบาทเศษ จากมูลนิธิฯ และให้ดำเนินคดีแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ที่ทำการโดยทุจริต และให้ตั้งกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดชอบ อบจ. จึงได้ทำการเรียกคืนเงิน 17 ล้านบาทเศษ จากมูลนิธิฯ เท่านั้น แต่ไม่ดำเนินคดีอาญาแก่ผู้ที่ทำการทุจริตผู้ใดเลยแม้แต่คนเดียว – ในปี 2560 อบจ.จันทบุรี จึงทำการแต่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง เพื่อหาผู้รับผิดชอบเงิน 17 ล้านบาทเศษที่หายไป
-ในปี 2561 คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ได้รายงานผลการสอบข้อเท็จจริงว่า ผู้ที่ต้องรับผิดชอบเงินที่สูญหายไป ได้แก่ “มูลนิธิพุทธมณฑลจังหวัดจันทบุรี” โดยขณะนั้นมูลนิธิฯ มีกรรมการ 20 ท่าน เป็นพระสงฆ์ 16 ท่าน เป็นฆราวาส 4 คน ซึ่งนายก อบจ.จันทบุรี เป็นกรรมการ/เลขานุการ ของมูลนิธิด้วย
-จากนั้น อบจ.จันทบุรี จึงรายงานผลการสอบข้อเท็จจริง ให้ สตง.ทราบตามขั้นตอนของทางราชการ ซึ่งการสนับสนุนเงินงบประมาณแก่มูลนิธิพุทธมณฑลฯ เข้าข่ายมีการกระการโดย
ทุจริต จึงมีการรายงานต่อไปถึง ปปช. ตามขั้นตอนของการปราบปรามการทุจริตในระบบราชการ
-ในปี2562 อบจ.จันทบุรี ได้ยื่นฟ้องมูลนิธิพุทธมณฑลจังหวัดจันทบุรีต่อศาลจังหวัดจันทบุรีเพื่อเรียกเงิน 17 ล้านบาทเศษคืน ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางโดย พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมกำลังตำรวจจำนวน
หนึ่ง ได้เข้าตรวจค้นในเมืองจันทบุรี ทั้งหมด 9 จุด “ในคดีร่วมกันฉ้อโกงเงินเงินจากมูลนิธิพุทธมณฑลจังหวัดจันทบุรี” และควบคุมตัวผู้ต้องหา 4 ราย ไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สภ.เมืองจันทบุรี ผู้ต้องหา 4 ราย ที่ปรากฏตามข่าวที่สื่อต่าง ๆ เสนอไปแล้ว ประกอบด้วย
1.นายธนภณ กิจกาญจน์นายก อบจ.จันทบุรี
2.พระครูปลัดณัฐดนัย ชยปาโล เจ้าคณะอำเภอสอยดาว ผู้ดูแลมูลนิธิฯ
3.นายภูวนาถ บำรุงพันธุ์ ผู้อำนวยการกองแผนและงบประมาณ อบจ.จันทบุรี
4.นายเกศสยาม ร่วมดี ผู้จัดการ หจก.สยามช่างบูรพา ผู้รับเหมาก่อสร้าง
ทั้ง 4 คน จึงตกเป็นผู้ต้องหามาจนถึงบัดนี้ รอขึ้นศาลเพื่อรับโทษตามกฎหมายต่อไป เป็นการร่วมกันกระทำผิดทั้ง นักการเมือง พระสงฆ์ ข้าราชการ ผู้รับเหมาก่อสร้าง คดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับใครเลย เป็นการร่วมกันกระทำความผิดไว้เอง ก็รับกรรมไปเอง อย่าไปโทษคนอื่น ในคดีทั่วไปเราจะได้ยินคำว่า “แพะรับบาป” แต่ในคดีนี้ นักการเมืองทำผิดแต่ให้ “พระรับบาป” โดยสรุป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรณีเรื่องของพุทธมณฑลจังหวัดจันทบุรีนี้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินจังหวัดจันทบุรี สตง. ได้เข้าไปตรวจพบเองโดยไม่มีการร้องเรียนของใครแต่อย่างใด ซึ่งเป็นการกระทำของเขาและผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้เองทั้งสิ้น แต่กลับกันได้มีการกล่าวหา โทษคนอื่นๆ รวมถึงผม แล้วมาคิดว่าผมนั้น มีอำนาจในการ
นำตำรวจสอบสวนกลาง ปปป. เป็น 100 นาย มาจับกุมเขาในครั้งนั้น ซึ่งผมขอน้อมรับ และขอขอบคุณที่ให้เครดิตผม ที่ผมสามารถมีอำนาจถึงขนาดนั้น ผมได้รับทราบและเก็บเรื่องนี้ในใจมาตลอดมา และต่อจากนี้ไปผมจะช่วยตามหาความจริงในเรื่องนี้ และตามติดดูคดีนี้อีกแรงหนึ่ง เพื่อทำความจริงให้ปรากฏสังคม จะได้ไม่ต้องมีข้อกังขาต่อตัวผม และเพื่อตีแผ่ความจริงให้สังคมได้รับรู้ต่อไปครับ ก่อนจบการแถลงนี้ ผมนายมานะ ชนะสิทธิ์ ขอขอบคุณพรรคเพื่อไทย กับตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ครั้งแรกในปี 2554 กับพรรคเพื่อไทย ถึง ไทยรักษาชาติ และจนถึงพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน
วันนี้ผมขอผมน้อมรับการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ได้เลือกผมเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทย ในเขต 2 ของจังหวัดจันทบุรีครั้งนี้และขอขอบคุณผู้ใหญ่ในพรรคหลายท่านที่
ให้การสนับสนุนผมตลอดมา
ส่วนเส้นทางการเมืองในอนาคตอันใกล้นี้ ดังที่กล่าวไว้ในข้างต้น ผมเองยังคงยืนหยัดเดินบนเส้นทางนี้ต่อไปครับ แต่จะเดินอย่างไรนั้น ปัจจุบันยังไม่ได้ตัดสินใจ ซึ่งเรื่องนี้เมื่อ
ตัดสินใจแล้ว จะแจ้งให้ทุกท่านได้ทราบในอีกครั้งหนึ่งครับ
ท้ายสุดนี้ ขอขอบคุณครอบครัวที่น่ารักอบอุ่น พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง และทีมงาน ที่คอยอยู่เคียงข้าง ให้กำลังใจผม บนถนนเส้นทางสายการเมืองเสมอมา และที่ลืมไม่ได้ขอขอบคุณทุกๆ คะแนนเสียง ของพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกท่าน ทุกการเลือกตั้ง ทั้งสนามเล็กและสนามใหญ่ ที่สนับสนุนเลือกผมตลอดมา ถ้าไม่มีทุกคนคงไม่มีผม มานะ ชนะสิทธิ์ ในวันนี้ ขอขอบคุณทุกท่านจากหัวใจครับ จันทบุรีต้องไม่มีบ้านใหม่ หรือบ้านใหญ่ แต่ต้องเป็นบ้านที่เท่าเทียมสำหรับทุกคนครับ