เวลา 11.30 น. วันเดียวัน (19 เม.ย.) ภายหลัง เต้ มงคลกิตติ์ เข้าพบ พงส.กก.1 บก.ป.เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ได้เปิดเผยว่า ทางพนักงานสอบสวนได้แจ้ง 2 ข้อหาคือ ม.309 และ ม.392 ( มาตรา 392 ผู้ใดทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือความตกใจ โดยการขู่เข็ญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)
ซึ่ง มาตรา 392 ตนเคยโดนดำเนินคดีมาแล้วตอนมีเรื่องกับอดีต สส.สิระ เจนจาคะ ส่วน ม.309 จะเข้าหรือไม่เข้าก็อีกเรื่องหนึ่ง ต้องรอการแก้ข้อกล่าวหาก่อน ว่าที่มาที่ไปของเหตุการณ์ดังกล่าวมีเจตนามาจากอะไรกันแน่ ซึ่งตนจะมาพบพนักงานสอบสวนกองปราบฯ อีกครั้งภายในวันที่ 12 พ.ค.เบื้องต้นให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะแก้ข้อกล่าวหาตามกระบวนการยุติธรรม เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการพูดคุยกัน ต้องเข้าใจกันว่าเรารู้จักกันมา 7 ปี เพราะฉะนั้นคำพูดต่างๆ เหมือนกับเป็นการพูดคุยของคนที่รู้จักกัน ซึ่งเขาก็เคยคุยแรงๆ กับเราๆ ก็เคยคุยแรงๆ กับเขา
ตอนพูดคุยกันตนเองไม่รู้ว่าถูกแอบอัดเทปเสียง โดยปกติตนพูดคุยกับใครจะไม่อัดเสียงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะคุยกับรัฐมนตรี ผู้หลักผู้ใหญ่ ตนก็จะไม่อัดเสียงอยู่แล้ว เพราะการอัดเทปเสียงมันไม่ใช่วิสัยของนักเลงคุยกัน นักเลงคุยกันมันก็แฟรงก์ๆ จบก็คือจบ
ตอนนี้กำลังเร่งให้พนักงานสอบสวนสรุปสำนวนคดีที่พรรคฯ และตนเองฟ้องทนายเดชา หมิ่นประมาทโดนการโฆษณา ในการตำหนิพรรคฯ อยู่หลายครั้ง ที่มีการกล่าวหาฟ้องกันไปมาอยู่ ส่วนจะเจรจากันหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเขา ตนไม่ชอบมีเรื่องกับคนที่รู้จักกัน ไม่ชอบมีเรื่องแล้วไม่เกิดประโยชน์ ไม่เหมือนกับตนไปดำเนินคดีนายกฯ รองนายกฯ มันน่าจะเกิดประโยชน์กว่า ตนเองไม่มีเจตนาที่จะไปทำร้ายใครอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องคดีแตงโมก็ไม่ใช่เรื่องของตน แต่เป็นเรื่องส่วนรวม
สำหรับกรณีแก้หรือยกเลิก ม.112 นายมงคลกิตติ์ กล่าวอีกครั้งว่า จุดยืนตนชัดเจน ตนเป็นคนพิษณุโลก เมืองสองแคว เคยเรียนที่พระราชวังจันทร์ สมเด็จพระนเรศวร พระเอกาทศรถ พระพี่นางกัลยา ทุกวันนี้นึกถึงคุณพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ที่มีผืนแผ่นดินไทยมาทุกวันนี้ โดยเฉพาะพระนเรศวรและพระเจ้าตากสิน ถ้าไม่มีสองพระองค์นี้เราก็จะไม่มีผืนแผ่นดินอยู่ทุกวันนี้ ตนเกิดมาในตระกูลแซ่มุ่ย เป็นคนไทยเชื่อสายจีนเกือบ 100% ได้มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารถือว่าเป็นบุญโขแก่ตระกูลแล้ว ตนจะคิดทุรยศเป็นอื่นไม่มีอยู่แล้ว
เรื่อง ม.112 ตนได้พูดมาหลายที่แล้ว อย่างที่เชียงใหม่ ตนได้ถามรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยมาแล้วว่าจะเอาอย่างไรแน่ รองฯ จุลพรรณ บอกว่าเรื่องแก้ไขจะต้องคุยกันหลังเลือกตั้ง ซึ่งตนมองว่าไม่ชัด พรรคคุณจะได้คะแนนเสียงจากประชาชนที่ลงคะแนนให้ เขาต้องการรู้ว่าพรรคคุณจะแก้หรือไม่แก้ ม.112 ไม่ใช่ทำแบบกำกวมไปก่อน อย่าทำให้คนที่จะลงคะแนนเสียงเขาเข้าใจผิด คุณต้องบอกมาให้ชัดเจนลงไปว่าจะเอาอย่างไร คือ แก้ หรือไม่แก้
ส่วนพรรคก้าวไกลเขาชัดเจนว่าแก้ ม.112 แบบนี้ตนนับถือมากกว่า
ตนฝากเรียนไปยังคุณทักษิณ อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ช่วยบอกลูกพรรคคุณด้วยว่าคุณจะเอาอย่างไรแน่ คุณเศรษฐาและคุณอุ๋งอิ๋ง จะต้องชัดว่าแก้หรือไม่แก้ ม.112 บอกประชาชนให้ชัดก่อนลงคะแนน อย่ากำกวม อย่ามาบอกว่าเข้าสภาไปก่อนแล้วค่อยไปคุยในพื้นที่ปลอดภัยอย่างนั้นมันไม่ใช่ อันนี้เป็นกฎหมายสาธารณะ มีไว้ปกป้องประมุขของแผ่นดิน คุณจะต้องชัด พรป.พรรคการเมืองก็บอกอยู่แล้วว่าต้องอยู่ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ฉะนั้นพรรคคุณต้องชัด อย่ากำกวน เหมือนพรรคก้าวไกล ที่คุณพิธา เขาแปะสติกเกอร์ยกเลิก ม.112 แต่เขาบอกขอแก้ก่อน ถ้าแก้ไม่ได้ก็มายกเลิกด้วยกัน แต่ลูกพรรคก้าวไกล เวลาไปขึ้นเวทีออกดีเบต กลับอ้ำอึ้งๆ ไม่กล้าตอบเหมือนหัวหน้าพรรคเลย ตกลงคุณอยู่พรรคเดียวกันหรือเปล่า
ซึ่งถ้าเพื่อไทยไม่แลนด์สไลด์ ก็จะต้องไปจับมือกับก้าวไกล แล้วก้าวไกลเขามีนโยบายแก้ไขหรือไม่ก็ยกเลิก ม.112 แบบนี้พรรคเพื่อไทยคุณจะเอาอย่างไร เพราะคุณจะต้องจับมือกันแล้วแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร จะต้องทำตามกับที่บอกประชาชนที่ลงคะแนนให้คุณมา คุณต้องชัด อย่ากำกวม เพราะถ้ากำกวมแบบนี้มันจะไปต่อไม่ได้ ส่วนพรรคไทยศรีวิไลย์ของตน ชัดเจน ไม่ยกเลิก ไม่แก้ไข ม.112 กูต้องการอยู่ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ตนชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง ประชาชนคนไทยแฮปปี้ก็เลือก ไม่แฮปปี้ก็ไม่ต้องเลือก