เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 พ.ค.66 ที่ หน้าศาลแรงงานกลาง ถนนพระรามที่ 4 กทม. นายกฤษฎา อินทามระ ทนายความพร้อมด้วยพนักงานการท่าเรือกว่า 100 คน ร่วมกันแถลงข่าวภายหลัวทราบผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ที่พนักงานการท่าเรือฯ จำนวน 384 คนฟ้องการท่าเรือแห่งประเทศไทยเรื่องค่าล่วงเวลาจำนวนทุนทรัพย์กว่า 500 ล้านบาท
โดยนายกฤษฎา กล่าวว่า ศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษายกฟ้องเพราะคดีขาดอายุความ ตนจึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษโดยให้เหตุผลว่า การท่าเรือจำเลยได้ใช้คดีพิเศษของ ดีเอสไอ มากล่าวอ้างกับศาลว่าโจทก์ทั้ง 384 คนได้ถูกการท่าเรือแจ้งความดำเนินคดีที่ ดีเอสไอ ในข้อหาทุจริตเบิกค่าล่วงเวลา ดังนั้นการแจ้งความในครั้งนี้จึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นในระหว่างมีข้อพิพาทจึงทำให้อายุความสะดุดหยุดลง คดีของโจทก์ทั้งหมดจึงยังไม่ขาดอายุความ โดยในวันนี้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษาว่า คดีโจทก์ฟ้องทั้งหมดขาดอายุความ
การที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาดังกล่าวทำให้โจทก์ทั้งหมดมีสิทธิดำเนินคดีทางแพ่งกับการท่าเรือในมูลละเมิดเป็นคดีใหม่เพราะขณะนี้ปรากฎชัดแล้วว่าการแจ้งความในคดีพิเศษของ ดีเอสไอ นั้น ถือเป็นการแจ้งความเท็จ เนื่องจาก ดีเอสไอ สรุปสำนวนสั่งพ้องผู้ต้องหาได้เพียง 34 คนจากผู้ถูกล่าวหา 1,019 คน โดยนายกฤษฎากล่าวว่า มหากาพย์เรื่องเงินค่าล่วงเวลาของพนักงานการท่าเรือที่มีปัญหากันมายาวนานหลายสิบปีนั้น จะต้องดำเนินต่อไปแต่จะเปลี่ยนข้อหาจากค่าล่วงเวลามาเป็นค่าเสียหายในมูลละเมิด สืบเนื่องมาจากการแจ้งความเท็จในคดีพิเศษของ ดีเอสไอ โดยคดีใหม่นี้จะมีมูลค่าความเสียหายตั้งแต่ 500 ล้านบาทถึง 1,000 ล้านบาท และยังมีคดีอาญาตามมาตรา 157 ที่พนักงานนับร้อยคนแจ้งความจับผู้บริหารกับพวกรวม130 คนไว้ที่ บก.ปปป. พนักงานก็จะดำเนินคดีต่อไปจนถึงที่สุด เพราะถือว่ามีการกระทำความผิดสำเร็จแล้วโดยอาจทำให้พนักงานนับพันคนต้องติดคุกทั้งที่เป็นผู้บริสุทธิ์
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า พนักงานที่มารับฟังคำพิพากษาฯ วันนี้ยังคงมีกำลังใจแสดงพลังด้วยการตะโกน สู้ สู้ สู้ และยืนยันจะเอาผิดผู้บริหารการท่าเรือฯ ให้ถึงที่สุด