จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จว.ชลบุรี ได้รับแจ้งเบาะแสกรณีมีแก๊งค์ชาวจีน ได้มาเช่าที่ภายในวัดเชาชีจรรย์ และได้จำหน่ายพระเครื่องให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยพระเครื่องที่จำหน่ายเป็นพระปลอมราคาถูกและทองปลอม แต่สร้างเรื่องราวจนสามารถจำหน่ายได้ในราคาหลักหมื่น ต่อมาเมื่อวันที่ 6 พ.ค.66 ได้นำกำลังเข้าตรวจสอบจนสามารถจับกุมชาวจีนได้จำนวน 12 ราย พร้อมยึดของกลางหลายรายการ และนำตัวส่ง สภ.สัตหีบ ภ.จว.ชลบุรี ดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามที่มีการนำเสนอข่าวแล้วนั้น
กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สืบสวนขยายผลคดีดังกล่าว เนื่องจากเป็นกรณีที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยและเกิดผลเสียต่อการท่องเที่ยวในสายตาของชาวต่างชาติ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้มีการสืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับนายทุนและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวทั้งหมดตามกฎหมาย
จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า ผู้ต้องหาชาวจีนทั้ง 12 ราย ที่ถูกจับกุมดำเนินคดีแล้วนั้น ได้มีผู้จัดหาดูแลที่พักและความเป็นอยู่ให้โดยชาวจีนจำนวน 2 ราย คือ นายเจิง เว่ย เย่อ และนายจาง หาง รวมทั้งรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายพระเครื่องจะต้องมีการโอนเงินเข้าบัญชีของชาวจีนทั้ง 2 ราย ดังกล่าว พนักงานสอบสวน สภ.สัตหีบ จึงได้ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้งสอง ดำเนินคดีในความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันเป็นนายจ้าง รับบุคคลต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน เข้าทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นบุคคลคนต่างด้าวร่วมกันจ้างให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจค้าปลีกโดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมทะเบียนการค้า ซึ่งต่อมา เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองรายได้ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้เข้าสืบค้นทรัพย์สินของกลุ่มผู้ต้องหาและผู้ที่เกี่ยวข้อง จนสามารถตรวจยึดทรัพย์สินของผู้ต้องหาได้หลายรายการ อาทิ บัญชีธนาคาร รถยนต์ หุ้นส่วนบริษัท และบ้านพร้อมที่ดิน มูลค่ารวมมากกว่า 137 ล้านบาทซึ่งจะได้เสนอเรื่องให้ ป.ป.ง. ดำเนินการตรวจยึดทรัพย์สินตามกฎหมายต่อไป
จากนั้น ได้สืบสวนขยายผลจากผู้ต้องหาทั้ง 2 รายพบว่า ผู้ต้องหาทั้งสองมีการโอนเงินที่ได้จากการหลอกขายพระเครื่องดังกล่าวให้กับผู้ร่วมลงทุนชาวจีนอีกจำนวน 4 ราย นอกจากนี้ ผู้ต้องหาชาวจีนทั้งสองราย ยังได้มีการใช้ให้คนไทย ดำเนินการออกหน้าเช่าที่ของวัดให้ โดยประสานกับเจ้าอาวาสวัดเขาชีจรรย์ โดยที่ไม่ได้มีการดำเนินการตรวจสอบตามกฎกระทรวง อีกทั้งเงินที่ได้จากการเช่าดังกล่าวก็มิได้นำเข้าบัญชีของวัดแต่อย่างใด จากข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงได้ขออนุมัติหมายจับดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีกจำนวน 4 ราย และแจ้งข้อกล่าวหา 2 ราย รวมเป็น 6 ราย มีรายละเอียดดังนี้
- นายจาง หมิง เฉิน สัญชาติจีน (จับกุม)
- นายจาง หง เซี่ยง สัญชาติจีน (จับกุม)
- นายชู หุ่ย เฉิน สัญชาติจีน (จับกุม)
- นางย่ง หง จู สัญชาติจีน (จับกุม)
ดำเนินคดีความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน - พระครูวิสุทธิ์ธรรมานุสิฐสมศักดิ์ (แจ้งข้อกล่าวหา)
ดำเนินคดีความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ - น.ส.พยอม ผาพิมพ์ ผู้เช่าที่จำหน่ายพระให้กับแก๊งค์คนจีน (แจ้งข้อกล่าวหา)
ดำเนินคดีความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงาน ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดย มิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดย มิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
นอกจากนี้ จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า นายเจิง เว่ย เย่อ ซึ่งมีภรรยาเป็นบุคคลสัญชาติจีนชื่อ นางซู่ หวัง ได้มีบุตรชายซึ่งมีการจดแจ้งกับนายทะเบียนอ้างว่า เป็นบุตรที่เกิดจาก นายณรงค์ เกรงสำโรง เพื่อให้บุตรชายได้สัญชาติไทย จึงได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้ง 3 คน ที่ สภ.เมืองพัทยา ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบ ในความผิดฐาน ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหากับนายเจิง เว่ย เย่อ และนายณรงค์ฯ แล้ว ส่วนนางซู่ สืบทราบว่าได้เดินทางหลบหนีออกนอกประเทศแล้ว ได้ดำเนินการออกหมายจับและจะประสานติดตามจับกุมต่อไป
ในส่วนของการขยายผลตรวจสอบวัดที่มีพฤติการณ์ใกล้เคียงกับวัดเขาชีจรรย์นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ตม.3 ร่วมกับ ภ.จว.ชลบุรี ตรวจสอบวัดเพิ่มเติมอีก 17 วัด ซึ่งมีคนจีนเช่าแผงขายพระเครื่องภายในวัด ในเขตพื้นที่ จ.ชลบุรี จากการตรวจสอบพบว่า กลุ่มวัดดังกล่าวมีการยกเลิกการขายพระเครื่อง จำนวน 13 วัด รวมถึงวัดเขาชีจรรย์ด้วย และยังมีการขายพระเครื่องอยู่อีก 4 วัด แต่ไม่มีบุคคลสัญชาติจีนเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้มีการตรวจสอบวัดและสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อย่างต่อเนื่องต่อไป นอกจากนี้ในส่วนการของการดำเนินคดีกับเจ้าอาวาสวัดเขาชีจรรย์นั้น จะได้มีการตรวจสอบทรัพย์สินของเจ้าอาวาสและน้องชาย รวมถึงกรรมการวัดที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด เพื่อตรวจยึดทรัพย์สินตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นคดีที่มีกลุ่มทุนจีนวางแผนเช่าแผงพระเครื่องภายในวัดเชาชีจรรย์ ซึ่งเป็นวัดที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นจำนวนมาก จากนั้นได้กว้านซื้อพระปลอมราคาถูกจากหลายแหล่ง นำมาตกแต่งทำกรอบทองปลอม แล้วหลอกขายให้กับนักท่องเที่ยวในราคาแพง ซึ่งกรณีดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นอย่างมาก หลังจากที่มีการจับกุมชาวจีนที่เป็นคนจำหน่ายพระแล้ว 12 ราย จึงได้ สั่งการให้ขยายผลดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มนายทุนคนจีนรวม 6 ราย เป็นคนไทยที่ออกหน้าเช่าแผงพระ 1 รายและดำเนินคดีกับเจ้าอาวาสซึ่งปล่อยให้มีการเช่าแผงดังกล่าวโดยไม่ทำตามขั้นตอนที่กฎกระทรวงกำหนดและไม่นำเงินจากการเช่าแผงดังกล่าวเข้าวัด นอกจากนี้ยังพบกรณีที่มีหนึ่งในผู้ต้องหาชาวจีนมีการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าหน้าที่อำเภอ หลอกว่าบุตรชายของตนเป็นลูกของคนไทย เพื่อให้บุตรได้สัญชาติไทย จึงได้สั่งให้ดำเนินคดีกับผู้ที่แจ้งความเท็จทั้งคนไทยและคนจีนในเบื้องต้น หากพบว่ามีบุคคลอื่นหรือเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องก็จะดำเนินคดีจนถึงที่สุด จึงขอฝากไปยังพี่น้องประชาชน หากมีเบาะแสเกี่ยวกับกรณีแก๊งค์ชาวต่างชาติทำธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย ขอให้แจ้งเบาะแสได้ที่สถานีตำรวจทั่วประเทศ หรือโทร 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง