กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุปผาสุวรรณ รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป., พ.ต.ท.ศุภกร ตังคะประเสริฐ, พ.ต.ท.เจษฎา แก้วจาเครือ, พ.ต.ท.อรรถวิทย์ สุขทัศน์, พ.ต.ท.เอนก บุญตา รอง ผกก.4 บก.ป.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ต.ณรงค์ หาญสันเทียะ สว.กก.4 บก.ป. และเจ้าหน้าที่ตำรวจชป.1 กก.4 บก.ป.
ร่วมกันจับกุม นางสาววัชรกัณย์ฯ อายุ 51 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลแขวงดุสิต ที่ 156/2566 คดีอาญาที่ 732/2566 ลงวันที่ 12 กันยายน 2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ฉ้อโกง”
สถานที่จับกุม บริเวณริมถนนในพื้นที่ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร
พฤติการณ์ สืบเนื่องจากก่อนเกิดเหตุ ผู้เสียหายได้รู้จักกับผู้ต้องหาจากการแนะนำของเพื่อน โดยทราบว่า ผู้ต้องหาประกอบอาชีพนายหน้าค้าที่ดิน, ทำธุรกิจบ้านจัดสรรและยังช่วยเป็นนายหน้าขายโรงแรมให้แก่เพื่อนของตนเอง จึงได้ติดต่อกันเรื่อยมา ต่อมาประมาณกลางเดือน ธ.ค. 2565
ผู้ต้องหาโทรศัพท์แจ้งว่า รีสอร์ทของเพื่อนผู้เสียหายจะขายได้เพราะมีนายทุนจากเมืองจีนจะโอนเงินเข้ามาเมืองไทยและต้องผ่านธนาคารแห่งประเทศไทยโดยจะนำทุนเข้ามาซื้อที่ดินอาคารเป็นเงินพันกว่าล้านบาท โดยผ่านทางผู้ต้องหา ผู้ต้องหาจะต้องช่วยประสานถอนเงินตังกล่าวออกมาส่วนหนึ่งเพื่อนำมาซื้อรีสอร์ทของเพื่อนผู้เสียหาย แต่ต้องนำเงินไปจ่ายค่าภาษีการนำเงินทุนเข้าประเทศก่อนเป็นเงินประมาณพันล้านบาท แล้วนายทุนจีนจะนำเงินมาจ่ายค่ารีสอร์ทให้เพื่อนของผู้เสียหายเป็นจำนวนเงินประมาณ 220 ล้านบาท และจะได้รับเงินค่าตอบแทนการลงทุนอีก 20,000,000 บาท โดยผู้ต้องหาให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีของผู้ต้องหาเป็นเงิน 2,178,000 บาท และมอบเงินสดอีกจำนวน 1,300,000 นาท
ต่อมาผู้ต้องหาได้ออกอุบายว่าจะต้องจ่ายค่าภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินเข้าบัญชีผู้ต้องหาและมอบเงินสดให้ผู้ต้องหาอีกหลายครั้ง รวมเป็นเงินทั้งหมดกว่า 7 ล้านบาท ต่อมาผู้เสียหายทวงถามและต้องการเงินคืน โดยไม่ขอรับส่วนแบ่งใด ๆ แต่ผู้ต้องหาได้แจ้งว่ายังนำเงินทุนออกมาไม่ได้และยอมรับว่าเงินทุนของจีนมีเหตุขัดข้องต้องรอ ปปง. ผู้ต้องหาจึงแสดงความรับผิดชอบด้วยการสั่งจ่ายเช็คให้ผู้เสียหาย เป็นจำนวนเงิน 8,000,000 บาท ต่อมาผู้เสียหาย ได้นำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินที่ธนาคาร ปรากฎว่าธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า “เงินในบัญชีไม่พอจ่าย” ผู้เสียหายจึงได้ ติดต่อไปหาผู้ต้องหาเพื่อสอบถามถึงเรื่องดังกล่าว โดยผู้ต้องหาอ้างเหมือนเดิมว่าได้รับเงินทุนมาแล้ว แต่ยังไม่สามารถนำเงินเข้าสู่บัญชีธนาคารของตนเองได้ ต่อมาผู้เสียหายได้ติดตามทวงเงินคืนจากผู้ต้องหามาโดยตลอด แต่ผู้ต้องหาได้บอกปัดและบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าโดนหลอก ผู้เสียหายจึงได้เดินทางมาร้องทุกข์ที่ สน.บางซื่อ เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาต่อไป
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. สืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาจะเดินทางมาไหว้พระที่วัดในพื้นที่
แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร จึงลงพื้นที่ตรวจสอบและเฝ้าสังเกตการณ์บริเวณดังกล่าว
จนกระทั่งพบหญิงมีตำหนิรูปพรรณตรงตามผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว
เดินอยู่บริเวณริมถนนในพื้นที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงเข้าไปแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและจับกุมตัวนำส่ง พนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และจากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหา พบว่า มีประวัติการก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวอีก 6-8 คดี แต่ละคดีมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 5-10 ล้านบาท
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา