วันอังคาร, พฤศจิกายน 26, 2024
หน้าแรกอาชญากรรมตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) รวบ “แพ็คคู่ ผัวเมีย” ใช้สารพัดกลโกงหลอกเหยื่อเสียหายกว่า 30 ล้าน

Related Posts

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) รวบ “แพ็คคู่ ผัวเมีย” ใช้สารพัดกลโกงหลอกเหยื่อเสียหายกว่า 30 ล้าน

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังการปราบปราม (บก.ป) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป.,พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ
,พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.ศราวุธ จันต๊ะวงค์ ผกก.2 บก.ป., พ.ต.ท.นฤทธิ์ ผูกจิตร,
พ.ต.ท.นพรัตน์ คำมาก, พ.ต.ท.เนติวิทย์ ธนาสิทธิ์นิติกุล, พ.ต.ท.พลวุฒิ ผาตินุวัติ รอง ผกก.2 บก.ป.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดยพ.ต.ท.สรศักดิ์ แสงจันทร์ สว.กก.2 บก.ป., ร.ต.อ.ภูวดล เปรมปรีวรรณ
รอง สว.กก.2 บก.ป., ร.ต.อ.นนทพัทธ์ กาวชู รอง สว.(สอบสวน) กก.2 บก.ป., ด.ต.ศักรินทร์ แก้วมูลมุข,
จ.ส.ต.บัณฑิต น้อยสุวรรณ, จ.ส.ต.ณัทกร ศิรบัญชากุล, จ.ส.ต.อิสระ ลีเจริญศิริ, จ.ส.ต.ปฐมพงศ์
อิศรางกูร ณ อยุธยา, ส.ต.อ.ธีรวัฒน์ หาญประโคน และ ส.ต.อ.กานต์ณวัตน์ บุญพิเชฐ ผบ.หมู่ กก.2 บก.ป.
ร่วมกันจับกุม

  1. นายอาภากรฯ (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี
    ซึ่งเป็นจำเลยตามหมายจับของศาลแขวงธนบุรีจำนวน 4 หมายจับ โดยกล่าวหาว่า
    1.1 หมายจับของศาลแขวงธนบุรี ที่ 37/2566 ลงวันที่ 26 ม.ค.2566 คดีหมายเลขดำที่ อ2040/2564
    คดีหมายเลขแดงที่ อ1108/2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”
    1.2 หมายจับของศาลแขวงธนบุรี ที่ 281/2566 ลงวันที่ 11 พ.ค.2566 คดีหมายเลขดำที่
    อ2045/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อ1664/2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”
    1.3 หมายจับศาลแขวงธนบุรี ที่ 312/2566 ลงวันที่ 23 พ.ค.2566 คดีหมายเลขดำที่ อ2012/2564
    คดีหมายเลขแดงที่ อ1663/2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”
    1.4 หมายจับศาลแขวงธนบุรี ที่ 367/2566 ลงวันที่ 15 มิ.ย.2566 คดีหมายเลขดำที่ อ2073/2564
    คดีหมายเลขแดงที่ อ1665/2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”
  2. น.ส.นิตยา (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี
    ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหายจับของ สน.ราษฎร์บูรณะ จำนวน 1 หมายจับ โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันฉ้อโกง”ตามหมายจับศาลแขวงธนบุรี ที่ 227/2566 ลงวันที่ 6 ก.ย.2566 เลขคดีอาญา 936/2566

สถานที่จับกุม บริเวณหน้าร้านอาหาร ถ.ท้ายบ้าน ต.ปากน้ำ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ

พฤติการณ์ เมื่อประมาณ พ.ศ.2553 ผู้ต้องหาและครอบครัวได้ไปเช่าอพาร์ทเม้นท์ย่านราษฎร์บูรณะ ของผู้เสียหายอยู่แล้วก็ได้ตีสนิทกับผู้เสียหายโดยการช่วยเหลือดูแลอพาร์ทเม้นท์โดยที่ผู้เสียหายไม่ได้ร้องขอ ช่วยซ่อมแซมระบบไฟฟ้าของอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งผู้ต้องหาเองเป็นคนที่มีความรู้เรื่องระบบไฟฟ้าจนทำให้ผู้เสียหายเกิดความไว้วางใจ จนมาเมื่อ พ.ศ.2555 ผู้เสียหายต้องการที่จะปลูกบ้าน ผู้ต้องหาเลยเสนอตัวว่าตัวเองมีความรู้เกี่ยวกับการปลูกสร้างบ้าน โดยได้ให้ผู้เสียหายโอนเงินค่าก่อสร้าง และค่าซื้อไม้สักเป็นต้น โดยมียอดการโอนเงินเป็นจำนวนหลายครั้ง ต่ำสุดมีตั้งแต่หลักพันถึง 6-7 แสนต่อครั้ง และผู้ต้องหายังมีการอ้างว่าสามารถประมูลอุปกรณ์ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าได้โดยจะได้ราคาถูกกว่าท้องตลาดผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนเงินให้กับผู้ต้องหาไป ได้มีการโอนเงินจนมาถึงปี 2562 รวมการโอนทั้งสิ้นหลายร้อยครั้ง มูลค่าความเสียหายประมาณ 22 ล้านบาท แต่ภายหลังจากที่ผู้เสียหายโอนเงินไปก็ไม่เคยได้สิ่งของหรือการสร้างบ้านตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อทวงถามกับผู้ต้องหาไปก็บ่ายเบี่ยง จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ราชบูรณะ จนนำมาสู่การออกหมายจับ
และในรายอื่นๆ ก็จะใช้กลในการหลอกคล้ายๆกัน คือหลอกว่าจะทำธุรกรรมต่างๆ ให้ แต่จะเรียกเก็บเงินค่ามัดจำ ค่าดำเนินการต่างๆก่อน เมื่อได้เงินแล้วก็จะเชิดเงินหนีไป ติดต่อไม่ได้ และเหตุการณ์ล่าสุดเกิดเมื่อประมาณต้นเดือนมกราคม ผู้เสียหายที่ 2 ต้องการที่จะปรับปรุงบ้าน ย่านท่าข้าม เลยได้ไปถามญาติซึ่งเปิดร้านขายวัสดุก่อสร้าง ให้ช่วยแนะนำช่าง ทางด้านญาติของผู้เสียหาย จึงได้แนะนำตัวผู้ต้องหาเพราะเห็นว่าเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างและเป็นลูกค้าของทางร้าน หลังจากที่ผู้เสียหายที่ 2 ได้รู้จักกับผู้ต้องหา ผู้ต้องหาก็แสดงท่าทีเป็นบุคคลมีน้ำใจ คอยช่วยเหลือ และมักซื้อของมาฝากบ่อยครั้ง ผู้เสียหายที่2จึงเกิดความไว้วางใจ จนเมื่อประมาณเดือนเมษายนทางผู้ต้องหาเริ่มมีการให้ผู้เสียหายที่2 โอนเงินมัดจำค่าก่อสร้างและอ้างว่าจะนำไปซื้ออุปกรณ์ที่จะปรับปรุงบ้าน โอนจำนวนหลายครั้ง เเต่ละครั้งยอดหลักแสน รวมแล้วประมาณ 1 ล้าน 5 แสนบาทและผู้ต้องหาก็ยังได้ชักชวนญาติของผู้เสียหายที่ 2 อีก 3 คน ในเรื่องการประมูลรถหรูและของแบรนด์เนม จากหน่วยงาน ป.ป.ง. โดยผู้ต้องหาอ้างว่ารู้จักเจ้าหน้าที่ภายในสามารถช่วยให้ได้ของราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด แต่ขอให้โอนเงินมัดจำเป็นค่าเจ้าหน้าที่ดำเนินการก่อน ทั้ง 3 คน โอนเงินจำนวนหลายครั้งตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้านเพื่อเป็นค่าดำเนินการดังกล่าว รวมแล้วประมาณ 5 ล้านกว่าบาท แล้วสุดท้ายก็โดนเชิ่ดเงินหนีหาย ซึ่งการโอนเงินของผู้เสียหายแต่ละราย ทางนายอาภากรฯ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้ผู้เสียหายโอนมายังบัญชีธนาคารของภรรยา นางการเกดฯ ผู้ต้องหาที่ 2 (เสียชีวิต ก.ค.66), และบัญชี ของภรรยาอีกคน น.ส.นิตยาฯ ผู้ต้องหาที่ 3 (ถูกจับกุมในคราวเดียวกัน)
จนตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปราม สืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองรายได้พร้อมกัน และได้นำตัวนายอาภากรฯ ส่งศาลแขวงธนบุรี นำตัว น.ส.นิตยาฯ ส่ง พงส.สน.ราษฎร์บูรณะ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น
ผู้ต้องหาที่ ๑ รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
ผู้ต้องหาที่ ๒ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts