เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 15 ธ.ค.66 ที่ศูนย์รับแจ้งความ บช.ก. จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ อดีต สห.ทอ.พา CEO หนุ่มเจ้าของบริษัทขายตรงทางโทรศัพท์ พร้อมพนักงานกว่า 10 ชีวิต เข้าพบ พ.ต.ต.หญิง หญิงปิยาภรณ์ แก้วมณีโปรด สว.(สอบสวน)กก.1.บก.ป.ร้องขอความเป็นธรรม กรณีถูกบริษัทใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรรโชกทรัพย์ ข่มขู่ เอารถย นต์ และยังโกงเงิน เป็นจำนวนกว่า 10 ล้านบาท
จ่าคิงส์แตงทิม พร้อมด้วย นายกฤษพงษ์ กลรัตนพงศ์ กรรมการบริษัทบีจีเอ็ม ไทย กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินการเกี่ยวกับการขายของทางโทรศัพท์ให้กับบริษัทที่มาเป็นคู่สัญญาต่างๆ นำหลักฐานเป็นใบแจ้งความ และกลุ่มผู้เสียหายที่เป็นพนักงานในบริษัท เข้าแจ้งความ กับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม หลังถูก บริษัท โรงงานผลิตอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์เสริมความงาม แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทมหาชน โกงเงินค่าตอบแทนที่ได้มีการตกลงกันไว้ว่าจากยอดขายทั้งหมดจะมีการแบ่งรายได้มาที่บริษัทขายของทางโทรศัพท์ของทางนายกฤษพงษ์ จำนวนร้อยละ 40 จากยอดขายทั้งหมด ซึ่งบริษัททั้งสองได้มีการทำสัญญาและเริ่มทำธุรกิจร่วมกันตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา แต่ตั้งแต่เดือนแรกของการร่วมกันทำธุรกิจก็ไม่เคยได้รับผลตอบแทนตามที่ได้มีการตกลงกัน รวมถึงทางบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ก็ยังมีการจ่ายเงินล่าช้าให้กับทางบริษัทขายของทางโทรศัพท์ จนทำให้พนักงานกว่า 70 คนของทางบริษัทขายของทางโทรศัพท์ ประสบปัญหาทางการเงิน หลายคนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องไปหารายได้พิเศษอย่างอื่นเพราะตลอดหนึ่งปีที่ทางบริษัทร่วมธุรกิจกับทางเจ้าของผลิตภัณฑ์ ไม่สามารถนำเงินมาจ่ายให้กับลูกน้องได้
นายกฤษพงษ์ ระบุว่า ตนเองเคยเป็นลูกจ้างในบริษัทใหญ่หลายแห่ง รวมถึงเป็นพนักงานฝ่ายขายทางโทรศัพท์ของบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ ทำให้มีคอนเน็คชั่นส์ และรู้วิธีการทำงานเกี่ยวกับการขายของทาง ต่อมาจึงได้มีการแยกตัวออกมาตั้งบริษัทขึ้น และรับงานกับทางบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์รายนี้ ซึ่งตอนแรกก็ได้สังเกตุเห็นว่าบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์รายนี้ เป็นบริษัทมหาชน มีผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง เห็นว่ามีดารารุ่นใหญ่หลายคนเป็นพรีเซนเตอร์ออกอากาศตามทีวีต่างๆ จึงตัดสินใจรับ แต่เมื่อรับงานได้ตั้งแต่เดือนแรกก็เจอปัญหากับการจ่ายเงินล่าช้า และจ่ายเงินเพียง ร้อยละ 20 ซึ่งไม่ตรงกับที่ตกลงกันไว้ที่ร้อยละ 40 ก่อนที่ทางบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์จะจ่ายเงินให้กับตนเองแค่เดือนที่ 5 ก็ไม่มีการจ่ายเงินต่อ และมีการบ่ายเบี่ยง ตนเองจึงต้องพยายามติดต่อไปเพื่อขอให้ทางเจ้าของบริษัทจ่ายเงินให้กับตนเองบางส่วนเพื่อนำเงินดังกล่าวมาให้กับพนักงานที่หลายคนมีปัญหาทางด้านการเงิน
ต่อมาเจ้าของบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ได้มีการเรียกตนเองให้เข้าไปที่ตัวบริษัทที่ตั้งอยู่ในย่านเขตยานนาวา ตรวจเมื่อพบกับเจ้าของบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ตนเองได้ยื่นข้อเสนอขอให้ทางบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์จ่ายเงินให้กับบริษัทตนเองบางส่วนก่อน เป็นจำนวนเงินประมาณ 1,500,000 บาท แต่ทางเจ้าของบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ได้ยื่น เงื่อนไขว่าตนเองจะต้องเซ็นโอนรถยนต์ของตนเองและเซ็นเช็คสั่งจ่ายในจำนวนเงิน 1,500,000 บาทเพื่อเป็นการค้ำประกันเงินก้อนดังกล่าว ตนเองจึงจำเป็นต้องทำตามเพราะต้องการนำเงินมาให้กับลูกน้อง เพราะหากตนเองไม่ยอมทำตามทางเจ้าของบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์จะไม่ยอมโอนเงินจำนวนดังกล่าวให้กับตนเอง
ตนเองมองว่าการกระทำดังกล่าว ถือว่าไม่เป็นธรรมกับตนเอง อีกทั้งเงินจำนวน 1,500,000 บาทยังไม่ใช่เงินทั้งหมดที่บริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์จะต้องจ่ายให้กับ เพราะหากรวมมูลค่ารายได้ที่จะต้องจ่ายให้กับบริษัทตนเองเชื่อว่ามีมากกว่า 10 ล้านบาท ตนเองจึงเดินทางลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน. คันนายาว และ ร้องขอความช่วยเหลือกับจ่าคิง จนนำมาสู่การเข้าแจ้งความในวันนี้
ด้านจ่าคิงส์ระบุว่า ตนเองอยากให้ทางบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์มาเจรจากับทางบริษัทค้าขายทางโทรศัพท์ เพราะการต่อสู้ในชั้นศาลเชื่อว่าไม่เกิดผลดีกับฝ่ายใดเลย รวมถึงตนเองอยากให้ทางบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์เห็นใจกลุ่มผู้เสียหายซึ่งเป็นเพียงพนักงานบางคนต้องเลี้ยงดูบุตรหลานเพียงลำพัง บางคนมีพ่อแม่ที่ป่วย จึงอยากให้ทางบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์เห็นใจในจุดนี้และมาเจรจากันเพื่อหาข้อยุติในปัญหานี้โดยที่ไม่ต้องเข้าสู่การฟ้องร้อง และขอให้หยุดการข่มขู่ใดใดกับทางกลุ่มผู้เสียหาย เพราะตนเองเชื่อว่าทุกคนในประเทศไทยอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกันไม่มีใครใหญ่ไปกว่ากัน
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนรับแจ้งความไว้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป