นายพูลเดช กรรณิการ์ นักวิชาการอิสระ อดีตที่ปรึกษา นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ โพสต์เฟสบุ๊กล่าสุดถึงสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน และการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจที่อาจนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ว่า สหรัฐกำลังผลักจีนให้ใหญ่ยิ่งขึ้น
การประชุมหารือเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง ระหว่าง โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ กับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา ซึ่ง ไบเดน เป็นคนเชิญเองให้ สี ประชุมหารือกันเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในยูเครนกับตน ไม่ผิดไปจากที่ผมเคยวิเคราะห์ไว้ว่า ไบเดน ต้องการใช้เวทีนี้ ดึง สี ออกมาพูดให้ชัดถึงท่าทีและจุดยืนของจีนต่อวิกฤตยูเครน โดยเฉพาะต้องการให้ สี พูดให้ชัดว่าจะไม่ช่วยรัสเซียทางด้านเศรษฐกิจ (แน่นอนว่า มันหมายถึงการปรามจีนว่าจะต้องไม่แสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากวิกฤตครั้งนี้ด้วย) รวมทั้งไม่ช่วยสนับสนุนด้านการทหารแก่รัสเซีย (ตามที่สหรัฐกล่าวหาจีน)
การประชุมครั้งนี้จึงเกิดขึ้นและเป็นไปภายใต้แรงกดดันและการข่มขู่ของสหรัฐที่มีต่อจีน (ก่อนหน้าการประชุมครั้งนี้ ในการประชุมระดับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐและจีน 2 ครั้ง) เจ้าหน้าที่สหรัฐก็ได้แสดงการกดดันจีนมาแล้ว เพื่อ “นำร่อง” ให้กับ ไบเดน กดดันจีนต่อ ในการประชุมกับ สี
จึงไม่แปลกที่ ไบเดน จะพูดกดดันในเชิงข่มขู่ สี ต่อหน้าจอการประชุมออนไลน์ว่า จีนต้องยอมรับกับผลที่จะเกิดขึ้นตามมาหากให้การสนับสนุนไม่ว่าในทางใดก็ตามแก่รัสเซีย และเตือนว่า มาตรการที่จะเกิดขึ้นอาจไม่ได้มาจากรัฐบาลวอชิงตันฝ่ายเดียว แต่จะมาจากพันธมิตรในยุโรปด้วย
ต่อมา นางเจน ซากี โฆษกทำเนียบขาว สำทับตามมาอีกว่า ไบเดนระบุกับประธานาธิบดีจีน โดยเตือนว่าจีนจะต้องเจอกับผลลัพธ์หากจีนให้การสนับสนุนรัสเซียรุกรานยูเครน โฆษกทำเนียบขาวระบุว่า การประกาศมาตรการคว่ำบาตรกับจีนจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะใช้ในการกดดันจีน และสหรัฐจะหารือในเรื่องผลลัพธ์ที่จีนต้องเจอกับพันธมิตรในยุโรปและชาติพันธมิตรอื่นๆ ด้วย
“ผลกระทบที่จะตามมาอาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจและการค้าของจีนซึ่งมีมูลค่ามหาศาล” โฆษกทำเนียบขาว แทงไปที่กล่องดวงใจของจีนตรงๆ
ด้าน สี ไม่ตอบโต้ใดๆ ต่อการกดดันและการข่มขู่ของ ไบเดน ในระหว่างการประชุม แต่พูดกับ ไบเดน ถึงจุดยืนของจีนต่อสงครามในยูเครน ว่า สงครามในยูเครนควรยุติโดยเร็วที่สุดและเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกนาโต (NATO) เจรจากับรัสเซีย “ลำดับความสำคัญสูงสุดในขณะนี้คือการเจรจา หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายของพลเรือน ป้องกันวิกฤตด้านมนุษยธรรม ยุติการต่อสู้และยุติสงครามโดยเร็วที่สุด”
สี พูดกับ ไบเดน ว่า ไม่มีใครอยากให้เกิดความขัดแย้งและการเผชิญหน้าอย่างที่เป็นอยู่ในยูเครนในขณะนี้ “วิกฤตในยูเครนคือสิ่งที่เราไม่ต้องการให้เกิด”
ความสัมพันธ์แบบรัฐต่อรัฐไม่สามารถพัฒนาไปสู่เวทีแห่งการเผชิญหน้า และสันติภาพและความปลอดภัยเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของประชาคมระหว่างประเทศ
สี พูดอีกว่า ความสัมพันธ์ของสองประเทศมหาอำนาจควรมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ควรนำมาสู่การใช้อาวุธ และทั้งสองประเทศควรแบกรับความรับผิดชอบระหว่างประเทศและพยายามทำให้โลกสงบ
แต่คนที่ออกมาตอบโต้สหรัฐ ภายหลังการประชุมระหว่าง ไบเดน กับ สี คือ หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน โดยออกมากล่าวถึงบทบาทของจีน “ในวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน” ว่า จีนจะไม่ยอมรับการบีบบังคับหรือการกดดันจากภายนอก และจะต่อต้านข้อกล่าวหา และข้อสงสัยที่มีต่อประเทศจีนที่ไม่มีมูลความจริง
หวัง กล่าวว่า ข้อความสำคัญที่สุดที่ สี ส่งออกไปก็คือ จีนจะเป็นกำลังสำคัญในการรักษาสันติภาพในโลกเสมอ หวังกล่าวว่า จีนมีจุดยืนในการรักษาสันติภาพ และต่อต้านสงคราม
พร้อมกับย้ำว่า จีนจะตัดสินใจใดๆ อย่างเป็นอิสระ มีเป้าหมาย เป็นธรรม และเป็นไปตามความต้องการของประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คำกล่าวอ้างของจีนอยู่บนความถูกต้องของประวัติศาสตร์
ท่าทีล่าสุดของ หวัง แสดงให้เห็นถึง การไม่ยอมอ่อนข้อให้กับการรุกไล่จากสหรัฐอีกต่อไป จากที่ก่อนหน้านี้ หวัง แสดงท่าทีอ่อนโยนและรักษาไมตรีกับสหรัฐมาตั้งแต่ต้นนับจากเกิดวิกฤตยูเครน
ผมมองว่า ท่าทีล่าสุดของ หวัง คือ การส่งสัญญาณพลิกเกมของจีน ไม่กลัวไม่เกรงคำขู่ของสหรัฐ กลับมาเป็นตัวของตัวเอง และพร้อมรับการผลักไสของสหรัฐให้ไปอยู่ข้างรัสเซีย
นี่เองที่ทำให้ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของรัสเซีย ออกมาพูดหลัง หวัง ทันทีว่า ความสัมพันธ์ของรัสเซียกับจีนช่วงปัจจุบัน มีแต่กระชับแน่นแฟ้นมากขึ้น หลังสหรัฐกดดันจีนไม่ให้สนับสนุนอาวุธ และเศรษฐกิจกับรัสเซียซึ่งถูกนานาชาติคว่ำบาตร กดดันให้ยุติการบุกโจมตียูเครน
ผมคิดว่า ถ้าเกิดรัสเซียกับจีน แท็คทีมกันได้จริงๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ และการทหาร สหรัฐและ EU หนาวแน่ เพราะอำนาจสองขั้วในโลกเกิดการบาลานซ์กันครบทุกด้าน ทั้งด้านการทหาร อาวุธไฮเทค ที่รัสเซียถือไพ่เหนือกว่าสหรัฐและ EU กับ เศรษฐกิจ ที่จีนก็แข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าสหรัฐและ EU
และนั่นจะเป็นสิ่งเดียวที่จะค้ำยันไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ และค้ำจุนทำให้โลกดำรงอยู่ต่อได้ แม้จะเป็นการอยู่ร่วมกันแบบสงครามเย็นครั้งใหม่ เพราะเกิดการถ่วงดุลอำนาจที่เสมอกัน balance of power และเกิด ดุลแห่งความกลัวกันและกัน Balance of Terror ขึ้นแล้วอย่างแท้จริงในระบบโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดการถ่วงดุลทางเศรษฐกิจ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ นับจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา สงครามทางเศรษฐกิจเป็นอาวุธสำคัญที่ประเทศที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายพันธมิตร ใช้ในการรุกรานฉกฉวยเอาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากประเทศอื่น อยู่ฝ่ายเดียว!!!!
#ukraine #ukrainewar #russia #RussiaUkraine #china #JoeBiden #XiJinping #US_China #รัสเซีย #ยูเครน #สหรัฐ #จีน