วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024

Related Posts

“ซูเปอร์บอร์ด” กระทุ้ง กสทช.ทำหน้าที่ให้เป็นไปตาม กม.
พิจารณาดีลควบรวม “ทรู-ดีแทค” ต้องคำนึงผลกระทบ ปชช.
แนะปัดฝุ่นประกาศ กสทช.ปี 53 รับมือ-เตือนโทษหนักลดทอนอำนาจตนเองระวังเจริญรอยตามอดีต ปปช.

“ซูเปอร์บอร์ด กสทช.” กระทุ้ง กสทช.ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการสื่อสารโทรคมนาคมตามอำนาจหน้าที่เข้มงวด แนะปัดฝุ่นประกาศควบรวมปี 53 มาใช้แทนประกาศไร้น้ำยาในปัจจุบัน เตือนบอนไซอำนาจตนเองระวังคอตกตามอดีต ป.ป.ช.

แม้เส้นทางการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่าง บมจ.ทรูคอริปอเรชั่น กับ บมจ. โทเทิ่ลแอ็คเซ็สคอมมูนิเคชั่นหรือ “ดีแทค” จะเดินมาถึงโค้งสุดท้ายที่คาดว่าจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัทเพื่ออนุมัติดีลควบรวมกิจการตามรายงานของที่ปรึกษาอิสระ(IFA) ในต้นเดือน เม.ย.นี้ โดยไม่รอการตรวจสอบจากคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ สภาผู้แทน หรือผลการพิจารณาจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช.

ล่าสุดมีรายงานว่า 1 ในคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ “ซูเปอร์บอร์ด กสทช.” เตรียมทำหนังสือถึงรักษาการ กสทช.ชุดปัจจุบันเพื่อขอให้ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ อย่างเคร่งครัด พร้อมเสนอให้ กสทช.ยกเลิกประกาศ กสทช.เรื่องมาตรการกำกับดูแลการควบรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคมปี 2556 ที่จำกัดอำนาจการยับยั้งการพิจารณาควบรวมกิจการที่เคยมี โดยเสนอให้ กสทช.ปัดฝุ่นนำเอาประกาศ กสทช.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการควบรวมกิจการปี 2553 กลับมาใช้ เพื่อให้การกำกับดูแลกรณีควบรวมกิจการโทรคมนาคมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถที่จะพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติได้

ทั้งนี้ ซูเปอร์บอร์ด กสทช.เห็นว่า ประกาศ กสทช.เรื่องมาตรการกำกับดูแลการควบรวมกิจการปี 2561 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันนั้น มีปัญหาเรื่องความชอบด้วยกฎหมาย และน่าจะขัดบทบัญญัติ พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ เป็นการออกประกาศข้อบังคับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะตามประกาศ กสทช.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการควบรวมปี 2553 แต่เดิมนั้น ให้อำนาจ กสทช.ที่จะพิจารณาระงับยับยั้งการควบรวมกิจการได้ หากเห็นว่าส่งผลกระทบต่อการแข่งขันและกระทบต่อตลาดโทรคมนาคมโดยรวม พร้อมกับเสนอแนะให้ กสทช.ปัดฝุ่นนำประกาศ กสทช.ปี 2556 กลับมาประกาศใช้เป็นการด่วนเพื่อให้การกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคม เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

“ในอดีตศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็เคยมีคำพิพากษาในคดี ที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.เคยออกระเบียบปรับค่าตอบแทนให้ตนเองโดยมิชอบ โดยสรุปได้ว่า แม้คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะมีอำนาจออกระเบียบใช้บังคับได้ แต่ระเบียบที่ออกใช้บังคับต้องมีฐานอำนาจตามกฎหมายรองรับ หากกระทำโดยไม่มีฐานอำนาจและเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเอง หรือผู้อื่นย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯได้”

พร้อมกันนี้ ซูเปอร์บอร์ด-ได้ตอกย้ำขอให้ กสทช.ได้ปฏิบัติตามกรอบอำนาจหน้าที่ และ ควรยกเลิกประกาศ กสทช.เรื่องมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคมปี 2561 ที่ลดทอนอำนาจของตนเองอย่างชัดเจน และปัดฝุ่นนำเอาประกาศ กสทช.เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการควบรวมหรือถือหุ้นไขว้ในกิจการโทรคมนาคมปี 2553 กลับมาใช้บังคับเพื่อให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ การที่ “ซูเปอร์บอร์ด กสทช.” ที่ถือเป็นหน่วยงานกำกับและตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ (Audit) ออกโรงกระทุ้ง กสทช.ให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มงวดตามกรอบกฎหมายนั้น ก็เนื่องจากเห็นว่า ผลจากการควบรวมกิจการโทรคมนาคมทรูและดีแทคที่จะมีขึ้นนั้น จะส่งผลกระทบต่อตลาดโทรคมนาคมในภาพรวมส่งผลก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับประชาชนผู้บริโภค เนื่องจากข้อมูลผู้ใช้บริการมือถือในปัจจุบัน ที่มีอยู่ 141 ล้านเลขหมายนั้นเป้นของ ผู้ให้บริการ 3 ค่ายใหญ่คือ AWN ในเครือเอไอเอส(AIS) บริษัททรูมูฟ เอช(TUC)ในกลุ่มทรู และบริษัทดีแทคไตรเนท จำกัดในเครือดีแทค คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 93% หากมีการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค จะทำให้เหลือผู้ให้บริการในตลาดเพียง 2 ราย และมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 54% ซี่งถือเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือตลาดในทันที ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและอาจก่อให้เกิดความเสียเปรียบตามมา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts