เวลา 13.00 น. วันที่ 26 มี.ค.67 ที่ศูนย์รับแจ้งความ บช.ก. พหลโยธิน จตุจักร กทม.พระครูปลัดธีรนัชณฤทธา เมตตธมโม ประธานภาคีเครือข่ายองค์กรพลังชาวพุทธ และ พระสิทธิศักดิ์ สิรินันโท รองประธาน และเลขาฯ สมัชชาสงฆ์ไทยแห่งสังฆมณฑล เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.หญิง กรแก้ว ประหยัดทรัพย์ รอง ผกก.3 บก.ปปป.นำหลักฐานเข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ตรวจสอบพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตถิผโล วัดนาป่าพง ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ด้วยการฟอกเงิน
พระครูปลัดธีรนัชณฤทธา กล่าวว่า วันนี้กระผมมายื่นคำร้องจากคราวที่ 20 มี.ค.ได้มายื่นร้องกองปราบฯ ไว้ โดยทางกองปราบฯ ส่งเรื่องให้ บก.ปปป. เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้
กระผมจึงกลับไปเขียนคำร้องทุกข์มาแจ้งความเพิ่มเติมในวันนี้ โดยแนบเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม ที่มีบุคคลผู้เสียหายเอกสารที่เป็นการฟอกเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเชื่อว่าพระอาจารย์คึกฤทธิ์ได้มีการฟอกเงินหรือกระทำความผิดซึ่งทาง บก.ปปป.จะได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง นอกจากนี้กระผมทราบข่าวมาจากวงในว่า ขณะนี้มีการเตรียมย้ายธุรการไปต่างประเทศ มีการโอนสัญชาติไปต่างประเทศด้วย จริงหรือไม่ ก็ขอให้ประชาชนได้ติดตามเพราะการกระทำครั้งนี้มีความเสียหายทั้งในปัจจุบันและในอนาคตมีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เรื่องนี้มหาเถรสมาคมที่ปกครองสงฆ์ จะนิ่งเฉยดูดายไม่ได้ถ้านิ่งเฉยเรื่องนี้ประชาชนอาจจะไปยื่นเรื่องร้องต่อเถรสมาคมให้ตอบคำถามนี้ได้ ว่าทำไมปล่อยให้เกิดความเสียหายมีการปลุกระดมด้อยค่าทางพุทธศาสนา พระพุทธรูปถูกทำลาย ในโลกโซเชียล มีการใช้ ai ทำให้เกิดภาพพจน์ที่เสียหายต่อพระพุทธรูปต่อสังคมต่างๆ มากมายเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง วันนี้จึงต้องมายื่นเรื่องร้องให้ บก.ปปป.ตรวจสอบในเรื่องนี้
หลักฐานที่นำมาเป็นเอกสารเส้นทางการ ฟอกเงินของท่านพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ที่มีการรับบริจาคเงินปีละ 20-30 ล้านบาทมาเพื่อพิมพ์หนังสือธรรมะแจก แต่ได้มีการนำหนังสือเหล่านั้นไปขายหรือไม่ การที่นำเงินโดยไม่ผ่านระบบตรวจสอบที่ถูกต้องโดยใช้นอมินีโอนเงินทั้งในและต่างประเทศ ทั้งที่วัดนาป่าพง เป็นสำนักสงฆ์ที่ไม่รับเงินรับทอง แต่พอไปถึงต่างประเทศกลายเป็นบัญชีของพระ อาจารย์คึกฤทธิ์ โดยตรง ซึ่งท่านจะต้องตรงไปตรงมาเพราะท่านเองพูดชัดเจนว่าไม่รับเงินรับทอง
ส่วนลูกศิษย์ลูกหาของพระอาจารย์คึกฤทธิ์คงจะต้องตั้งคำถามว่าเงินมากมาย ธุรกรรมมากมายนั้นชอบถูกต้องโดยกฎหมายเป็นไปโดยธรรมวินัยหรือไม่อย่างไร
ทราบว่าบุคคลใกล้ชิดหรือเครือญาติพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ที่เปลี่ยนจากบุคคลล้มละลายกลายเป็นคนที่ร่ำรวยเป็นเศรษฐีเงินหมุนเวียนหลายพันล้านภายในระยะเวลาสาม-สี่ปีเท่านั้น ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลมีบทบาทในการบริหารวัด จัดการเงินของทางวัด
ในเรื่องการตลาดการหารายได้ของทางวัดนาป่าพงพบว่ามีเงินหมุนเวียนมากมายเห็นได้จากการฟ้องร้องกันในบรรดาสานุศิษย์ของทางวัดมีการจัดการตลาด การค้าขาย โฆษณาขายหนังสือธรรมะผ่านโลกโซเชียลฯ อย่างเป็นล่ำเป็นสันเป็นจริงเป็นจัง แตกต่างจากวัดอื่นๆ ในประเทศไทย
ต่อข้อถามที่มีการกล่าวกันในโลกโซเชียลว่าท่านระบุว่าพระฉันหมูกระทะตอนเย็นได้นั้นข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
พระครูปลัดธีรนัชณฤทธา กล่าวว่าคำถามนี้เกี่ยวกับตัวอาตมาที่สมัยหนึ่งขณะที่ตนไปจัดการดูแลวัดที่พุทธมณฑลสาย 3 จริงๆเรื่องนี้เป็นการตัดต่อกล่าวหาใส่ร้ายอาตมาไม่ได้เป็นพระที่ฉันหมูกระทะแต่เนื่องจากมีพระที่เข้ามาอยู่อาศัยอาจจะมีการชั้นหมูกระทะในเมื่อหิวหรือเจ็บป่วยหรือทำอะไรที่นอกเหนือคำสั่งซึ่งเราไม่สามารถที่จะไปควบคุมดูแลตรวจสอบได้ทั่วถึงเพราะขณะนั้นมีพระสงฆ์อยู่จำนวนมากเรื่องนี้มีการเผยแพร่อยู่ในโลกโซเชียลและพยายามโยนคำถามมาที่อาตมาว่าอาตมาเป็นพระ ที่ฉันหมูกระทะจริงๆเรื่องนี้เคยออกสื่อมวลชนไปแล้วโต้ตอบให้ชัดเจนว่ามีการตัดต่อกันโลกโซเชียลให้เข้าใจผิดว่าอาตมาเป็นคนฉัน หมูกระทะ
อีกเรื่องหนึ่งที่มีการรายงานข่าวทางสื่อมวลชนว่าท่านเป็นพระที่ปีนต้นโพธิ์ข้างทำเนียบขึ้นไปผูกเปลเพื่อรอมอบดอกไม้ให้นายกฯลุงตู่นั้นข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
พระครูปลัดธีรนัชณฤทธา กล่าวว่าการที่อาตมาไปยื่นเรื่องตรวจสอบสื่อมวลชนไทยนำเสนอข่าวเท็จทำลายพระสงฆ์ข่าวจริงและข่าวเท็จทำลายภาพลักษณ์ของพระสงฆ์อาจจะเป็นด้วยอิทธิพลของพระคึกฤทธิ์/คุณสุจินและ คุณประเดิมที่ปลุกระดมให้สังคมเกลียดพระสงฆ์ อัฐมาจึงต้องไปที่ทำเนียบรัฐบาลปรากฏว่าสื่อมวลชนให้ความสนใจน้อยอาตมาเห็นว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องถึงนายกจึงจำเป็นต้องขึ้นไปต้นโพธิ์ที่จะบอกให้นายกรัฐมนตรีลงมาดูแลตรวจสอบเรื่องนี้นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมอาตมาจึงถึงต้องไปอยู่บนต้นโพธิ์เพราะว่าสื่อฯ ไม่สนใจเรื่องของตนนั่นเองต้องการให้สังคมรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นต่อคณะสงฆ์และอีกประเด็นหนึ่งที่ตนต้องการนำเสนอเพื่อสร้างศูนย์กลางเรียนรู้ศาสนาที่ถูกต้องโดยนำเสนอของบประมาณจากนายกฯ จำนวน 10,000 ล้านบาทเพื่อมาสร้างศูนย์การเรียนรู้ที่ถูกต้องถูกต้องปรากฏว่าหลังจากนั้นหนึ่งเดือนนายกอนุมัติเงินจำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท ให้กับอสม.
ด้านพระสิทธิศักดิ์ กล่าวว่า ฝากไปถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางภาครัฐและคณะสงฆ์ขอให้ช่วยสนใจใส่ใจเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเรื่องส่วนรวมกรณีที่พระคึกฤทธิ์ทำในเรื่องพุทธวัจนะ เท่าที่ตนติดตามตรวจสอบ ที่ระบุว่าหนังสือพุทธวัจนะ ที่มีการเรียบเรียงมาใหม่นั้น โดยพระคึกฤทธิ์ เป็นสิ่งที่ถูกต้องสะอาดและบริสุทธิ์ไม่มีปลอมปนซึ่งพระไตรปิฎกที่ใช้กันอยู่มีธรรมะบรรจุอยู่ในนั้นถ้าไม่ถูกต้องหนังสือของพระอาจารย์คึกฤทธิ์สามารถที่จะไปแทนพระไตรปิฎกได้เลย เป็นการชี้ชัดว่าเขาต้องการแยกพระธรรมคำสอนและแยกคณะสงฆ์ แยกการปกครองแล้วใช่หรือไม่ถ้าเค้าทำสำเร็จนั่นจะเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาที่จะต้องถูกแยกเป็นนิกายใหม่อีกแล้ว ฝากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งญาติโยมช่วยกันตรวจสอบดูแลนำความสงบกับคืนสู่สังคมไทย
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้รับหนังสือเอกสารหลักฐานต่างๆ เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป