นายชยธรรม์ พรหมศร ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ได้นำคณะกรรมการและที่ปรึกษาบอร์ดพร้อมด้วยนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ และผู้บริหาร กทท. ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) และลงพื้นที่ ณ ท่าเรือแหลมฉบังเพื่อ รับทราบปัญหา และ ติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ส่วนที่ 1 งานก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน ส่วนการถมทะเล เพื่อเร่งรัดติดตามการ แก้ไขปัญหาในการ ดำเนินงานให้ โครงการ สามารถแล้วเสร็จตรงเวลา เป็นไปตามกรอบระยะเวลาของสัญญา ที่ได้ทำไว้พร้อม ทั้งได้เดินทางไปตรวจการดำเนินงาน รับทราบปัญหาเพื่อ แก้ไข ให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพ ในการให้บริการขนส่งตู้สินค้าเชื่อมต่อทางเรือเข้ากับทางรถไฟ ของ Single Rail Transfer Operator : SRTO ซึ่งหากการดำเนินการมีประสิทธิภาพ ในการให้บริการ จะช่วยให้การขนส่ง สินค้า ผ่านช่องทางนี้มากขึ้น เป็นการลด ปริมาณการขนส่ง ทางถนนลง ซึ่งจะ เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ที่ต้องการ บรรลุวัตถุประสงค์ในการ ลดต้นทุน การขนส่ง logistics ในระบบการขนส่งสินค้า ของประเทศโดยรวม ด้วยการบูรณาการ เพิ่มประสิทธิภาพ การขนส่งทางน้ำกับทางราง ที่มีต้นทุนถูกกว่า ให้ไร้รอยต่อแบบ Seamless Multimodal Transport ให้เกิด เป็นรูปธรรม โดยเร็ว
นอกจากนี้คณะฯยังได้เข้าเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของบริษัท ฮัทชิสัน เทอร์มินัล จำกัด ณ ท่าเทียบเรือชุด D รวมถึงรับทราบการนำระบบ รถบรรทุกไร้คนขับ autonomous truck ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และมี เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาปรับใช้ในการปฏิบัติการ เพื่อยกระดับศักยภาพความปลอดภัยและ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามนโยบาย Green Transport ตลอดถึง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้รับบริการของท่าเรือดังกล่าวในปัจจุบันและมี แผนที่จะขยายการให้บริการเพิ่มขึ้นในอนาคต
สำหรับการลงพื้นที่ติดตาม งานก่อสร้างในส่วนของ งานถมทะเล ในโครงการ พัฒนา ท่าเรือแหลมฉบังเฟสที่ 3
ผู้แทน กลุ่มผู้รับเหมางาน ในกลุ่มกิจการร่วมค้า CNNC ได้รายงานความคืบหน้า ของการดำเนินงาน ที่ปัจจุบันได้มีการเร่งรัดเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยได้เพิ่มแรงงาน เครื่องจักร และเรือขุด Grab Dredger เข้ามาใช้ในการปฏิบัติงาน ทำให้ ปัจจุบันมีขีดความ สามารถในการขุดดินได้วันละ 2.3 ล้านลูกบาศก์เมตร และคาดว่าจะสามารถส่งมอบ งานก่อสร้างถมทะเลที่แล้วเสร็จ ใน พื้นที่ F1 ของ โครงการฯ ให้แก่ กทท. ได้ทันภายในเดือนกรกฎาคมนี้
นายชยธรรม์ฯ กล่าวว่า แม้ว่าตัวแทนผู้รับเหมาจะรายงานว่าได้ดำเนินการเร่งรัด งานขุดและถมทะเลด้วยการเพิ่ม เครื่องจักรและแรงงานแล้ว แต่จาก รายงานของผู้ควบคุมงานพบว่า ปัจจุบัน ผลงานก่อสร้างของผู้รับจ้าง ในแต่ละสัปดาห์ ยังมีความล่าช้าจากแผนฯอยู่ จึงได้กำชับให้ผู้บริหารกทท.ใส่ใจติดตามคุณภาพการก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ระบุในสัญญาจ้างควบคู่ไปกับการเร่งรัดแก้ปัญหาในรายละเอียดกับกลุ่มผู้รับเหมากิจการร่วมค้าฯ เพื่อให้งานแล้วเสร็จเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ ซึ่งเป้าหมายสำคัญต่อไปคือ งานก่อสร้างถมทะเลต้องแล้วเสร็จพร้อมส่งมอบพื้นที่ F และพื้นที่ถมทะเลพื้นที่ 3 ทั้งหมดให้กทท. ได้ทันตามกรอบระยะเวลาที่ระบุในสัญญา เพื่อให้กทท.สามารถส่งมอบพื้นที่ถมทะเลที่แล้วเสร็จดังกล่าว ให้กับผู้รับสัมปทาน ได้ตามสัญญาสัมปทาน ที่กทท. ได้เซ็นไว้กับผู้รับสัมปทาน เพื่อทำการ พัฒนา ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ได้ แล้วเสร็จตามแผนฯต่อไป
นอกจากนี้นายชยธรรม์ ยังได้กล่าวว่า การพัฒนาระบบโลจิสติกส์และการขนส่งหลากหลายรูปแบบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการขนส่งทางน้ำที่มีความสำคัญและถือเป็น gateway ในการขนส่ง นำเข้าและส่งออก สินค้าระหว่างประเทศ เป็นส่วนช่วยสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเป็นรากฐานในการสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่ง Logistics Hub ของภูมิภาคตามนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย
“ที่สำคัญในการลงพื้นที่และประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ครั้งนี้ได้พบว่า แผนยุทธศาสตร์แผนแม่บทการพัฒนาและแผนปฏิบัติการของการท่าเรือฯรวมถึงแผนแม่บทการพัฒนาของท่าเรือแหลมฉบังจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย โดยกำหนดโจทก์ให้กับผู้บริหารการท่าเรือฯ ไปเร่งรัดดำเนินการร่วมกับพันธมิตรท่าเรือชั้นนำในต่างประเทศ ของกทท.เพื่อให้ สามารถกำหนดเป็นแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการที่ทันสมัย สอดรับกับเป้าหมาย นโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาล นำเสนอบอร์ด คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นชอบ นำไปสู่การปฏิบัติ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค (Logistic Hub) ได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว” นายชยธรรม์กล่าว