“…ทุกวันนี้การขับเคี่ยวกันระหว่างพลังอำนาจใหม่ตัวแทนอนาคตกับพลังอำนาจเก่าที่ยึดติดอยู่กับอดีตนับวันรุนเเรงขึ้น พลังอำนาจใหม่ที่มีจีนเป็นตัวแทนกำลังได้เปรียบ ขณะที่พลังอำนาจเก่าที่มีสหรัฐฯเป็นผู้นำกลับยิ่งสู้ยิ่งเพลี่ยงพล้ำ ไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจการค้า การเมืองการทูต การทหาร มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จเสมอ ตรงกันข้ามสหรัฐฯกลับประสบปัญหาซ้ำซาก ขาดแรงดึงดูด เพียงแต่ประคับประคองตัวมิให้เพลี่ยงพล้ำจนล้มครืน จีนสามารถเดินเกมสามัคคีชาติต่างๆมาร่วมวงสร้างอนาคตใหม่กันมากขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ทั้งประเทศแถบหนึ่งแถบเส้นทาง ประเทศกลุ่มบริกส์ ประเทศกลุ่มอาเซียน อาหรับ แอฟริกา ลาตินอเมริกา หรือแม้กระทั่งบางประเทศในยุโรป โดยเฉพาะกับรัสเซีย และล่าสุดก็ได้รับการสนองตอบจากประเทศพัฒนาการแล้วใกล้บ้าน คือญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากก็ได้กระโดดเข้าร่วมโครงการต่างๆของจีนเร็วขึ้นและมากขึ้น เสียงสนับสนุนการรวมไต้หวันก็ดังชัดมากขึ้นเรื่อยๆ …”
ความใสในม่านหมอก 朦胧中的亮点
มีไหมนะ ที่การเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย เกิดขึ้นพร้อมกับความรับรู้ของคนทั่วไป ?
ไม่มีหรอก เมื่อย้อนมองกลับไปดูอดีตที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงมักจะดำเนินไปในลักษณะที่เปลี่ยนแปลงก่อนแล้วรับรู้ทีหลัง
การเปลี่ยนแปลงใดๆจึงมักจะเริ่มต้นที่การปฏิบัติของคนส่วนน้อย หรือกระทั่งจากคนกลุ่มหนึ่งหรือคนบางคน
ทว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เป็นมาของมนุษยชาติเช่นนี้ มิได้หมายความว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเกิดจากความคิดฝันเฟื่องแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ตรงกันข้าม ความคิดริเริ่มเปลี่ยนแปลงใดๆ จะต้องเกิดจากความคิดที่สะท้อนกระบวนการขับเคลื่อนของสังคม แล้วคิดแก้ไขปัญหาของสังคม หรือกระทั่งสร้างสังคมแบบใหม่ขึ้นมา
ความคิดริเริ่มลักษณะนี้ เปรียบดุจดวงไฟที่จุติขึ้นในท่ามกลางความมืดมน กลายเป็นความใสในม่านหมอก ที่จะค่อยๆเปล่งประกายขจัดม่านหมอกออกไปในที่สุด
ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ใครๆก็เห็นเป็นประจักษ์โดยตรงว่าอะไรเป็นอะไร
ทุกวันนี้ สังคมโลกกำลังอยู่ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบร้อยปี ในสายตาชาวโลก ดูอะไรต่อมิอะไรมันสับสนวุ่นวายไปหมด สิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะการประดิษฐ์คิดสร้างทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ที่ปรากฏออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ความสำเร็จใหม่ มีออกมาให้เห็นได้แทบทุกวัน และบทบาทของประเทศต่างๆก็ดูจะไม่นิ่งและเสถียรเลย ดูแล้วทั่วทั้งโลกกำลังดิ้นขลุกขลิก ที่จะพลิกตัวออกจากกรอบพิมพ์แบบเก่า เข้าสู่กรอบพิมพ์ใหม่ ที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ทว่า ในห้วงที่สังคมโลกยังดิ้นไม่พ้นกรอบพิมพ์เก่าและยังไม่เข้าสู่กรอบพิมพ์ใหม่เต็มตัวนี้ การขับเคี่ยวกันระหว่างผู้กำกับพิมพ์เก่ากับผู้ผลักดันพิมพ์ใหม่ก็ดำเนินไปอย่างเข้มข้น ยากยิ่งนักที่คนทั่วไปจะแยกแยะได้ถูกต้องด้วยตนเอง
การรอคอยความตื่นรู้ของชาวโลกโดยรวมจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่การขับเคี่ยวก็จะยิ่งต้องเพิ่มความเข้มข้น และต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณควบคู่ไปกับการสร้างพลังอำนาจเป็นจริงขึ้นมารองรับในทุกขั้นตอน
ทุกวันนี้การขับเคี่ยวกันระหว่างพลังอำนาจใหม่ตัวแทนอนาคตกับพลังอำนาจเก่าที่ยึดติดอยู่กับอดีตนับวันรุนเเรงขึ้น ซึ่งเท่าที่สังเกตเห็น พลังอำนาจใหม่ที่มีจีนเป็นตัวแทนกำลังได้เปรียบ ขณะที่พลังอำนาจเก่าที่มีสหรัฐฯเป็นผู้นำกลับยิ่งสู้ยิ่งเพลี่ยงพล้ำ
โดยทุกครั้งที่จีนเดินเกม ไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจการค้า การเมืองการทูต การทหาร มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จเสมอ ตรงกันข้ามสหรัฐฯกลับประสบปัญหาซ้ำซาก ขาดแรงดึงดูด เพียงแต่ประคับประคองตัวมิให้เพลี่ยงพล้ำจนล้มครืน
ลองเทียบดูอาการขับเคี่ยวกันของสองมหาอำนาจในรอบล่าสุด จะพบว่าจีนสามารถเดินเกมสามัคคีชาติต่างๆมาร่วมวงสร้างอนาคตใหม่กันมากขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ทั้งประเทศแถบหนึ่งแถบเส้นทาง ประเทศกลุ่มบริกส์ ประเทศกลุ่มอาเซียน อาหรับ แอฟริกา ลาตินอเมริกา หรือแม้กระทั่งบางประเทศในยุโรป โดยเฉพาะกับรัสเซีย
และล่าสุดก็ได้รับการสนองตอบจากประเทศพัฒนาการแล้วใกล้บ้าน คือญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ที่ถึงที่สุดแล้วจะต้องพึ่งตลาดจีนในหลายๆด้าน
เสียงสนับสนุนการรวมไต้หวันก็ดังชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
มิพักต้องพูดถึงความสำเร็จทางด้านอวกาศและการสื่อสารยุคใหม่5-6G และเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะของจีนที่ตั้งอยู่บนฐานการผลิตอุตสาหกรรมที่เข้มแข็งและครบวงจรมากที่สุดของจีน ทำให้พลังขับเคลื่อนโดยรวมของจีนทุกแขนงประเภทดำเนินไปได้อย่างราบรื่น อยากทำอะไรก็ทำได้ไม่ติดขัด
ไล่ตั้งแต่ชิประดับนาโนเมตรต่ำ หุ่นยนต์ที่ครองตลาดมากขึ้น ไปจนถึงเรือบรรทุกเครื่องบินและยานอวกาศชนิดต่างๆ โดยที่ไม่มีใครขัดขวางได้
โดยเฉพาะคือกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้กระโดดเข้าร่วมโครงการต่างๆของจีนเร็วขึ้นและมากขึ้น
ดูแล้ว ในท่ามกลางฝุ่นฟุ้งที่กำลังม้วนตลบ แสงแห่งอนาคตได้ทอประกายเจิดจ้าขึ้นเป็นลำดับ ไม่ยากที่ชาวโลกจะมองเห็น
ไขคำจีน
亮点 เลี่ยงเติ่ยน จุดสว่าง