จากกรณี นายบุญมา (ขอสงวนนามสกุล) หรือ เฮียตุ้ง อายุ 49 ปี ทะเลาะกับบุคคลภายในบ้าน ก่อนจะใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาดยิงใส่ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม เสียชีวิต เหตุเกิดช่วงเวลาประมาณ 21.45 น.ของวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่บริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งซอย 2 ถนนพระราม 2 แขวงและเขตบางบอน กทม. ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น…
ล่าสุดเมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 21 ก.ค.2567 รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบสาเหตุการก่อเหตุดังกล่าวคาดว่า นายบุญมา มีพฤติกรรมชอบใช้ความรุนแรง โดยมีการทำร้ายภรรยาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว จนเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ท่าข้าม ต้องเข้าไประงับเหตุ และมีการทำร้ายร่างกายคนในครอบครัวอยู่บ่อยครั้ง
ในช่วงระหว่างก่อนเกิดเหตุภรรยาพร้อมด้วยลูกสาว 5 คน ได้ย้ายไปอยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง แต่ในเวลาเกิดเหตุทางผู้ก่อเหตุได้เรียกลูก 3 คนมาช่วยทำความสะอาดบ้านในช่วงเวลา 18.00 น.ของวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา
ผู้ก่อเหตุได้ควบคุมตัวลูกสาวไว้ แล้วบอกให้ติดต่อภรรยาให้เข้ามาหาตนเอง จนกระทั่งมีการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ท่าข้าม เข้าทำการตรวจสอบเจรจา พร้อมภรรยาของนายบุญมา
กระทั่งเวลาประมาณ 21.00 น. พ.ต.ท.กิตต์ชนม์ จันยะรมย์ รองผกก.ป.สน.ท่าข้าม ได้ลงพื้นที่เข้าระงับเหตุเจรจา ผู้ก่อเหตุก็พูดคุยอยู่ตรงบริเวณประตูทางออกของบ้าน จังหวะที่คิดว่าสถานการณ์คลี่คลายแล้ว พ.ต.ท.กิตต์ชนม์ ได้ถอดเสื้อเกาะออก
ระหว่างที่จังหวะเห็นผู้ก่อเหตุกำลังเผลออยู่นั้น จึงได้เข้าไปเพื่อทำการจับกุม แต่เป็นจังหวะที่ลูกสาวของผู้ก่อเหตุวิ่งสวนออกมา จึงทำให้ พ.ต.ท.กิตต์ชนม์ เสียหลักลื่นล้ม ผู้ก่อเหตุจึงได้ใช้อาวุธปืนยิงสวนเข้าที่หน้าอกของพ.ต.ท.กิตต์ชนม์ จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตดังกล่าว
ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตของนายบุญมา จากการเข้าตรึงกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการต่อต้านการก่อการร้าย กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (191) หรือ อรินทราช 26 มีการใช้แก๊สน้ำตา อาวุธปืนระดมยิง อยู่เป็นระยะหลังการเจรจาไม่มีผล
จนกระทั่งช่วงเวลาประมาณ 02.00-03.00 น. พบว่าเสียงของผู้ก่อเหตุได้เงียบไป แต่มีเสียงการยิงด้วยอาวุธปืนดังขึ้นมาอีก 1 นัด ไม่พบเสียงตอบกลับแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตัดสินใจนำกำลังเข้าตรวจสอบในพื้นที่
จึงพบว่า นายบุญมา เสียชีวิตอยู่บริเวณชั้น 2 ของบ้านโดยใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเข้าที่ศีรษะ ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ยุติการปฏิบัติหน้าที่บริเวณดังกล่าว ก่อนให้ทางแพทย์นิติเวช รพ.ศิริราช และ เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเก็บวัตถุพยานหลักฐานบริเวณดังกล่าวโดยละเอียดอีกครั้ง