วันอังคาร, พฤศจิกายน 26, 2024
หน้าแรกอาชญากรรมกสม. มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ห่วงผลกระทบข้ามพรมแดนจากโครงการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ แนะทบทวนแผนการรับซื้อไฟฟ้าให้เหมาะสมและไม่สร้างภาระแก่ประชาชน

Related Posts

กสม. มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ห่วงผลกระทบข้ามพรมแดนจากโครงการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ แนะทบทวนแผนการรับซื้อไฟฟ้าให้เหมาะสมและไม่สร้างภาระแก่ประชาชน

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่เกรงว่าจะได้รับผลกระทบจากการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน 4 โครงการ ซึ่งเกิดจากบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) เรื่อง ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว ได้แก่ โครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสานะคาม เขื่อนภูงอย เขื่อนปากชม และเขื่อนบ้านกุ่ม โดยเขื่อนสานะคามอยู่ระหว่างกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า (PNPCA) ตามความตกลงแม่น้ำโขง เขื่อนภูงอยจะเข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้าต่อจากเขื่อนสานะคาม ส่วนเขื่อนบ้านกุ่มและเขื่อนปากชม อยู่ระหว่างการศึกษาและวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกันระหว่างไทยกับ สปป. ลาว ทั้งนี้ ผู้ร้องได้ขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนเนื่องจากเห็นว่าทั้ง 4 โครงการดังกล่าว จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย

กสม. ได้ตรวจสอบและประมวลข้อเท็จจริงจากคำชี้แจงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ และภาคประชาสังคม แล้ว เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2567 ประธานกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ จึงได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งประเด็นข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับผลกระทบข้ามพรมแดนที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนและประเทศไทย ข้อพิจารณา และข้อเสนอแนะ สรุปได้ดังนี้

ผลกระทบข้ามพรมแดนที่อาจเกิดขึ้นจากการพัฒนาโครงการ 5 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างเขื่อนอาจทำให้เกิดปัญหาน้ำเท้อท่วมพื้นที่สำคัญและพื้นที่เกษตรกรรม น้ำล้นตลิ่ง การกัดเซาะตลิ่ง การอพยพของสัตว์น้ำ และส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในแม่น้ำโขง โดยเฉพาะน้ำเท้อจากแม่น้ำโขงเข้าสู่แม่น้ำมูลและแม่น้ำสาขาในประเทศไทยจะกระทบต่อการบริหารจัดการน้ำเขื่อนปากมูลและแม่น้ำสาขา ทำให้การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในจังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเป็นพื้นที่รองรับน้ำจากลำน้ำต่าง ๆ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยเป็นไปได้ยากขึ้น (2) ด้านอุทกวิทยาและชลศาสตร์ จากการศึกษาและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธานในช่วงปี 2557 – 2561 (ซึ่งรวมถึงการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี) ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พบว่า การปล่อยน้ำจากเขื่อนในแม่น้ำโขงสายประธานทำให้การไหลของน้ำมีความเร็วและแรง ระดับน้ำมีความผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ตลิ่งถูกกัดเซาะมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในแม่น้ำโขงที่อุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพ กระทบต่อปลาขนาดใหญ่จำนวนมากและปลาท้องถิ่นที่จะไม่สามารถวางไข่ได้

(3) ด้านความมั่นคงชายแดนไทย – ลาว การสร้างเขื่อนอาจส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงร่องน้ำลึกทำให้มีผลต่อการเจรจาเขตแดนไทย – ลาว ที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission: JBC) (4) ด้านเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิตของประชาชน ประชาชนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมริมฝั่ง การประมง และการท่องเที่ยว หากพื้นที่ถูกน้ำท่วมจากน้ำเท้อ จะทำให้สูญเสียรายได้หลักในการดำรงชีพ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทิศทางการไหลของน้ำยังส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและประชาชนที่ต้องใช้น้ำในการอุปโภคบริโภค และ (5) ด้านความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน ที่ผ่านมายังไม่พบข้อมูลที่ชัดเจนว่ามีระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าแก่ประชาชนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจากโครงการเขื่อนในแม่น้ำโขงที่เปิดดำเนินการแล้ว รวมถึงเขื่อนที่อยู่ระหว่างการศึกษา เช่น เขื่อนสานะคามที่อยู่ประชิดชายแดนไทยเพียง 2 กิโลเมตร

กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้รับรองสิทธิของบุคคลและชุมชนในการมีส่วนร่วมกับรัฐในการจัดการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน ขณะที่ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน ปี 2538 ระบุว่า ประเทศสมาชิกที่ได้ตกลงร่วมกันที่จะใช้น้ำอย่างสมเหตุสมผลและเป็นธรรม จะต้องไม่กระทบอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้คณะรัฐมนตรียังมีมติเห็นชอบและประกาศใช้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (NAP) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2566 ซึ่งเน้นความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยครอบคลุมการลงทุนระหว่างประเทศ และส่งเสริมให้ภาคธุรกิจปรับใช้หลักการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (HRDD) ตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs)

เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริง และหลักสิทธิมนุษยชนข้างต้นแล้ว กสม. จึงมีข้อห่วงกังวลว่า แม้โครงการไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธานจะสร้างและดำเนินการในเขตอธิปไตยของ สปป. ลาว แต่ที่ตั้งแต่ละโครงการอยู่ติดกับประเทศไทยมากและมีความเสี่ยงสูงที่จะส่งผลกระทบข้ามพรมแดน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม อุทกวิทยาและชลศาสตร์ ประมง เศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิตชุมชน โดยเฉพาะในจังหวัดเลยและจังหวัดอุบลราชธานี รวมทั้งด้านความมั่นคงชายแดนและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย นอกจากนี้ รัฐบาลไทยอาจต้องสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง (ประมาณ 100 ล้านบาทต่อ 1 กิโลเมตร) เนื่องจากโครงการอาจทำให้เกิดการกัดเซาะตลิ่งมากขึ้น ส่วนภาคธุรกิจผู้ร่วมพัฒนาโครงการซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนนิติบุคคลสัญชาติไทยทั้ง 4 โครงการ ยังมีความรับผิดชอบที่จะต้องประกอบธุรกิจโดยเคารพสิทธิมนุษยชนตามหลักการ UNGPs ด้วย

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น สรุปได้ ดังนี้

(1) ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เสนอคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทยตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบสะสมที่เกิดขึ้น ตั้งแต่การสร้างเขื่อนไซยะบุรีในทุกด้าน และแนวทางการป้องกันผลกระทบต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงความเท่าเทียมของอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพต่างดินแดน และการเคารพในสิทธิและผลประโยชน์ของผู้อื่น เพื่อประกอบการพิจารณาการดำเนินโครงการทั้งสี่ เนื่องจากมีความสุ่มเสี่ยงที่จะละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนไทยและอธิปไตยของไทย

(2) ให้กระทรวงพลังงานทบทวนแผนการรับซื้อไฟฟ้าและปริมาณไฟฟ้าสำรองของประเทศไทยให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและไม่สร้างภาระแก่ประชาชน รวมทั้งพิจารณาแหล่งพลังงานทางเลือกอื่น ๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

(3) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจและผู้ลงทุนสัญชาติไทยให้ประกอบธุรกิจโดยเคารพสิทธิมนุษยชน โดยให้กระทรวงการคลังกำหนดให้การจัดทำบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องมีการประเมินความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนตามหลักการ UNGPs และตามที่กำหนดในแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2 และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินธุรกิจของผู้พัฒนาโครงการซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนนิติบุคคลสัญชาติไทยทั้ง 4 โครงการ สอดคล้องกับหลักการ UNGPs โดยจัดทำรายงานประเมินผลกระทบและความเสี่ยงของโครงการอย่างรอบด้านและมีมาตรการเยียวยาผลกระทบและป้องกันความเสี่ยงที่สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชน

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts