“….ล่าสุดมีรายงานสะพัดว่า มีแนวโน้มที่บริษัทเอกชนคู่สัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3สนามบินจะ “ถอดใจ”โครงการนี้ไปแล้ว หลังจากไม่สามารถระดมทุนจัดหาซัพพลายเออร์เครดิตได้ เพียงแต่ยังหาทางลงให้กับตัวเองไม่ได้ เพราะไม่ต้องการถูกขึ้น “บัญชีดำ”ว่าเป็นผู้ทิ้งงานรัฐ ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึง”ทิ้งไพ่ตาย”ด้วยการขอแก้ไขสัญญาสัมปทานให้รัฐเป็นผู้ลงทุนโครงการเองทั้งหมด ส่วนเอกชนจะรับสัมปทานเดินรถและพัฒนาที่ดินเช่นเดิม “เป็นการโยนเผือกร้อนไปให้รัฐบาลตัดสินใจเองว่าจะให้การโอบอุ้มข้อเสนอของเอกชนรายนี้หรือไม่ และจะต้องเร่งตัดสินใจภายใน 1-2 เดือนจากนี้ด้วย หากมีการยกเลิกสัญญาก็คงจะมีการฟ้องร้องอิรุงตุงนังตามมาอย่างแน่นอน อีกทั้งยังกระทบไปถึงโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออกอย่างแน่นอน ทั้งยังจะกระทบไปถึงภาพรวมการลงทุนในอีอีซีทั้งหมด เพราะ 2 โครงการดังกล่าวเป็นโครงการแม่เหล็กสำคัญที่มีมูลค่าลงทุนรวมมากกว่า 5 แสนล้านบาทด้วย…”
2โปรเจกต์ยักษ์อีอีซี 5แสนล้าน”ยืนบนเส้นด้าย”
“ไฮสปีดเทรน-เมืองการบินตอ.” 5ปีไม่คืบ
สะพัด “เจ้าสัว”ถอดใจทิ้งไพ่ตายให้ รบ.ชี้ขาด
จับตาฟางเส้นสุดท้ายต้องจบ มิ.ย.นี้
****
แม้รัฐบาล”มาดามแพ” ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะออกมาตีปี๊บผลงานความสำเร็จของการบริหารประเทศมาครบ 90 วัน
โดยชูธงผลงานการแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจคนละ 10,000 บาทผ่านแอปเป๋าตังในเฟสแรก 14.5 ล้านคนที่ดำเนินการไปแล้ว และเตรียมโม่แป้งโครงการ เฟส2 เก็บตกแจกเงินผู้สูงอายุอีก 4.5 ล้านคน
การปรับลดราคาพลังงาน ตรึงราคาน้ำมัน-ก๊าซ และโดยเฉพาะล่าสุดปรับลดค่าไฟฟ้าลงมาเหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนคนไทย
แต่ผลงานที่เป็นรูปธรรมอื่นๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังคงไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันทั้งนโยบาย”เรือธง”ของรัฐบาลในการปรับลดค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ที่แม้รัฐบาลจะดีเดย์ไปตั้งแต่สมัยนายกฯเศรษฐา ทวีสิน และล่าสุดกระทรวงคมนาคมได้ต่ออายุมาตรการดังกล่าวออกไปถึงปลายปี 2568 แต่ก็จำกัดอยู่แค่ 2 สายทางคือ รถไฟฟ้าสายสีแดง และสายสีม่วงเหนือของ รฟม.เท่านั้น
เส้นทางที่เหลือยังต้องไปลุ้นจะได้เห็นเป็นรูปธรรมหรือไม่ในเดือนกันยายนปี 2568 ตามที่กระทรวงคมนาคมป่าวประกาศเอาไว้ก่อนหน้า เพราะความสำเร็จหรือล้มเหลวของนโยบายดังกล่าวขึ้นอยู่กับกระทรวงคมนาคมจะสามารถขับเคลื่อนนโยบาย”กองทุนตั๋วร่วม”ที่จะมาอุดหนุนและชดเชยโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีอื่นๆ โดยตรง
ส่วนผลงานที่ผู้คนสัมผัสได้จริงๆ กลับเป็นมหันตภัยจากการก่อสร้างถนน “เจ็ดชั่วโคตร” พระราม2 ที่เกิดอุบัติเหตุซ้ำซากล่าสุดก็คานเหล็กก่อสร้างพังครืนลงมาทับแรงงานก่อสร้าง(อีกแล้ว) ทั้งที่กระทรวงคมนาคมเคยประกาศิตคาดโทษผู้รับเหมาจะไม่ให้เกิดเหตุในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นอีก มิฉะนั้นจะขึ้นบัญชีดำไม่ให้เข้าประมูลงานรัฐ หรือลดชั้นผู้รับเหมาในการประมูลงานรัฐให้รู้ดำรู้แดง
ที่ไหนได้หลังเกิดเหตุสลดขึ้นมา รมต.คมนาคมกลับออกมายอมรับหน้าชื่นว่า ไม่สามารถจะขึ้นบัญชีดำผู้รับเหมาที่เป็นต้นเหตุโศกนาฎกรรมที่ว่านี้ได้ เพราะกรมบัญชีกลางยังไม่ได้จัดทำร่างประกาศขึ้นบัญชีดำรับเหมาตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
หมายความว่าจากนี้ไปประชาชนคนไทยที่ต้องสัญจรผ่านถนนเจ็ดชั่วโคตรสายนี้ ยังคงต้องอกสั่นขวัญแขวนลุ้นให้ตัวเองแคล้วคลาดจากภัยอันตรายจากการก่อสร้างถนนเจ็ดชั่วโคตรสายนี้กันต่อไป
******
อย่างไรก็ตาม ในห้วงเวลาไม่ถึง 6 เดือนจากนี้ มีประเด็น” เผือกร้อน”ที่รัฐบาล “มาดามแพ” จะต้องผ่าทางตันให้ได้ นั่นก็คือการชี้ชะตา 2 โครงการเมกะโปรเจ็กต์ยักษ์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ”อีอีซี” นั่นคือโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน(ดอนเมือง สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงินลงทุน 2.24 แสนล้าน และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก วงเงินลงทุนกว่า 290,000 ล้านบาท
หลังจาก 2โครงการดังกล่าวต้องประสบปัญหาความล่าช้า ยิ่งในส่วนของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3สนามบินที่กล่าวได้ว่ากว่า 5 ปีมาแล้วนับจากที่รัฐบาลและการรถไฟฯ(รฟท.)ลงนามให้สัมปทานแก่บริษัทเอกชนคือ บริษัทเอเซียเอราวันจำกัด ของกลุ่มทุนซีพี.เมื่อ 24 ต.ค.2562 และจะต้องเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2564 แต่ผ่านมาจนถึงวันนี้กว่า3ปีเข้าไปแล้วยังไม่มีความคืบหน้า บริษัทเอกชนยังไม่เปิดหวูดตอกเสาเข็มเดินหน้าโครงการไปแม้แต่น้อย
ขณะที่โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก กำลังเดินมาถึงโค้งสุดท้าย”สิ้นสุดทางเลื่อน”ที่รัฐต้องตัดสินใจในเดือนมิ.ย.2568 นี้ เพราะในสัญญากำหนดให้คู่สัญญาฝ่ายรัฐ(กองทัพเรือและ สกพอ.) ต้องออกหนังสือ Notice to Proceed : NTP ให้คู่สัญญาเอกชนคือบริษัทอู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่นจำกัด( UTA)เริ่มต้นก่อสร้างโครงการภายใน 5 ปี หาไม่แล้วเอกชนสามารถบอกเลิกสัญญาได้ โดยไม่ถือเป็นความผิด
แต่การที่รัฐจะออก NTP ให้เอกชนเริ่มงานก่อสร้างได้ ก็ต้องชัวร์ว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3สนามบินที่เป็นเงื่อนไขสำคัญของความสำเร็จ-ล้มเหลวโครงการเมืองการบินตะวันออก ยังคงเดินหน้าก่อสร้างตามแผนงานอยู่ หากโครงการรถไฟความเร็วสูงฯยังคงล่าช้าหรือต้องมีอันเป็นไปย่อมส่งผลกระทบต่อโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออกโดยตรง !
********
#ไฮสปีดเทรนเชื่อม3สนามบินวุ่นไม่จบ
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีได้นำคณะเดินทางไปติดตามความคืบหน้าปัญหาการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจอีอีซี โดยเฉพาะ2โครงการแม่เหล็กรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3สนามบิน และเมืองการบินตะวันออก โดยได้รับรายงานจากเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(นายจุฬา เศรษฐมานพ)ว่า ทุกอย่างจะมีความชัดเจนภายในเดือนก.ค.2567
โดยในส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่ รฟท.และกพอ.ให้สัมปทานแก่บริษัทเอกชนคือ บริษัทเอเซียเอราวันจำกัด ของกลุ่มทุนซีพี.ไปตั้งแต่ปลายปี 2562 ซึ่งตามไทม์ไลน์นั้นจะต้องเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปลายปี 64 แต่จนถึงขณะนี้ บริษัทเอกชนผู้รับสัมปทานกลับไม่สามารถเปิดหวูดเริ่มต้นก่อสร้างได้
โดยที่ผ่านมาทางเอกชนได้ทำหนังสือชี้แจงถึงเหตุผลที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ โดยอ้างเหตุผล 2 ข้อคือผลกระทบจากโควิด และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้สมมติฐานในการดำเนินโครงการเปลี่ยนแปลงไป ท้ายที่สุดสถาบันทางการเงินที่ขอกู้ไว้ ไม่อนุมัติเงินกู้ให้ ทำให้อีอีซีและรฟท.ต้องใช้หลักการเจรจากับเอกชนตามหลักการร่วมลงทุนแบบ PPP เพื่อประคองให้โครงการไปต่อได้
โดยเอกชนได้ร้องขอให้มีการแก้ไขสัญญามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขอผ่อนปรนจ่ายค่าสิทธิ์รับโอนรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ จำนวน 10,671 ล้านบาท และยังขอให้รัฐปรับร่นการจ่ายเงินสนับสนุนโครงการหรือเงินร่วมลงทุนตามมติ ครม.จากเงื่อนไขประกวดราคาและตามสัญญาที่รัฐจะทยอยจ่ายเงินอุดหนุน จำนวน 119,000 ล้านบาท เมื่อโครงการแล้วเสร็จเปิดให้บริการแล้ว (ในปีที่ 6 ของสัญญา)เป็นระยะเวลา 10 ปีมาเป็นการ “สร้างไป-จ่ายไป” นับตั้งแต่ปีที่ 2 ของการก่อสร้าง วงเงินรวมดอกเบี้ยราว 120,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการการันตีว่าเอกชนรับเงินอุดหนุนจากภาครัฐไปแล้วจะยังคงดำเนินการก่อสร้างโครงการต่อเนื่อง โดยจะทยอยจ่ายภายใน 4ปี เฉลี่ยปีละ 30,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังปรับแก้ไขให้คู่สัญญาฝ่ายรัฐสามารถเข้าใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินโครงการส่วนที่สร้างเสร็จแล้ว จากสัญญาเดิมที่รัฐจะนำทรัพย์สินที่เอกชนสร้างมาใช้ได้ต้องโอนก่อน
แนวทางดังกล่าวคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(บอร์ดอีอีซี) ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบไปตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนส่งร่างสัญญาฉบับแก้ไขไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติ โดยคาดว่ากระบวนการนี้จะจบลงภายในปี 2567 นี้ เพื่อให้เริ่มต้นก่อสร้างโครงการได้ในต้นปี 2568
แต่จนถึงขณะนี้สำนักงาน สกพอ.ยังไม่สามารถนำมติบอร์ดอีอีซีที่เห็นชอบการแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการนี้กันจนปรุจนแทบไม่หลงเหลือเค้าลางโครงการเดิมเข้าสู่ที่ประชุม ครม.เพื่อให้ความเห็นชอบได้ หลังจากมีการตั้งข้อสังเกตุจากสำนักงานตรวจการแผ่นดินถึงแนวทางการแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการนี้ที่ส่อเอื้อประโยชน์เอกชนทำให้รัฐเสียประโยชน์และน่าจะขัดกับหลักกการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน(พีพีพี)
กพอ.มีอำนาจพิจารณาแก้ไขสัญญาสัมปทานได้โดยตรงหรือไม่ กระบวนการแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการนี้ต้อง กลับไปให้การรถไฟฯและกระทรวงคมนาคมที่เป็นคู่สัญญาดำเนินการภายใต้กรอบ พรบ.การร่วมลงทุนปี 2562 หรือไม่?
*******
#สะพัด”เจ้าสัว” ถอดใจ-โยนเผือกร้อนรบ.ชี้ชะตา
ล่าสุดมีรายงานสะพัดว่า มีแนวโน้มที่บริษัทเอกชนคู่สัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3สนามบินจะ “ถอดใจ”โครงการนี้ไปแล้ว หลังจากไม่สามารถระดมทุนจัดหาซัพพลายเออร์เครดิตได้ เพียงแต่ยังหาทางลงให้กับตัวเองไม่ได้ เพราะไม่ต้องการถูกขึ้น “บัญชีดำ”ว่าเป็นผู้ทิ้งงานรัฐ
ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึง”ทิ้งไพ่ตาย”ด้วยการขอแก้ไขสัญญาสัมปทานให้รัฐเป็นผู้ลงทุนโครงการเองทั้งหมด ส่วนเอกชนจะรับสัมปทานเดินรถและพัฒนาที่ดินเช่นเดิม
“เป็นการโยนเผือกร้อนไปให้รัฐบาลตัดสินใจเองว่าจะให้การโอบอุ้มข้อเสนอของเอกชนรายนี้หรือไม่ และจะต้องเร่งตัดสินใจภายใน 1-2 เดือนจากนี้ด้วย เนื่องจากโครงการนี้เกี่ยวพันไปถึงโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก ที่ยังคงรอคอยคำตอบจากรัฐว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ที่เป็นปัจจัยชี้ขาดผลสำเร็จ-ล้มเหลวของเมืองการบินตะวันออกนั้นจะยังเดินหน้าต่อไปหรือไม่
โดยเฉพาะเรื่องของสถานีรถไฟความเร็วสูงในสนามบินอู่ตะเภาที่คาราคาซังมานาน และยังไม่สามารถกำหนดรูปแบบที่แน่ชัดลงไปได้ ทำให้รัฐไม่สามารถจะออก NTP ให้ผู้รับสัมปทานเริ่มต้นก่อสร้างได้ หากท้ายที่สุดแล้ว รัฐบาลไม่กล้าตัดสินใจ หรือซื้อเวลาต่อไป บริษัทย่อมอ้างได้ว่าไม่ได้เป็นความผิดของบริษัท แต่เป็นความผิดของรัฐเองที่ไม่ตัดสินใจเรื่องนี้
แต่ปัญหาที่จะเกิดตามมา หากโครงการนี้ต้องล้มเลิกไปก็คือ ในส่วนรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ที่เอกชนรับโครงการไปบริหารตั้งแต่ปลายปี 2564 โดยที่ยังไม่ได้จ่ายค่าสิทธิรับโอน รวมทั้งยังไม่ได้จ่ายค่าซ่อมบำรุงให้บรรดาซัพพลายเออร์ทั้งหมด อ้างเหตุผลที่ว่ารายได้ที่บริษัทได้รับไม่เพียงพอค่าใช้จ่ายในการเดินรถและบำรุงรักษา ทำให้บริษัทต้องแบกรับภาระแทนการรถไฟมาโดยตลอดนั้น
หากมีการยกเลิกสัญญาก็คงจะมีการฟ้องร้องอิรุงตุงนังตามมาอย่างแน่นอน
ที่สำคัญหากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินนี้ ต้องถูกยกเลิกหรือล้มไป ย่อมกระทบไปถึงโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออกอย่างแน่นอน ทั้งยังจะกระทบไปถึงภาพรวมการลงทุนในอีอีซีทั้งหมด เพราะ 2 โครงการดังกล่าวเป็นโครงการแม่เหล็กสำคัญที่มีมูลค่าลงทุนรวมมากกว่า 5 แสนล้านบาทด้วย!!!