วันพุธ, กรกฎาคม 2, 2025
หน้าแรกคอลัมนิสต์สุรชา บุญเปี่ยมแก้กฎหมายประมง หายนะท้องทะเลไทย ?

แก้กฎหมายประมง หายนะท้องทะเลไทย ?

ใครที่ติดตามการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อช่วงใกล้สิ้นปี 2567 เป็นประเด็นต่อเนื่องมาถึงต้นปีนี้ คงได้เห็นการถกเถียงเรื่องการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ซึ่งเป็นกฎหมายประมงที่ออกมาในสมัยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประเด็นสำคัญตามร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฯ มาตรา 23 คือการแก้ไขมาตรา 69 ในพระราชกำหนดการทำประมงที่บัญญัติว่า “ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อม ที่มีช่องตาอวนเล็กกว่าสองจุดห้าเซนติเมตรทำการประมงในเวลากลางคืน” โดยให้ยกเลิก และให้ใช้ตามที่บัญญัติใหม่ในร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฯ ว่า “ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อม ที่มีช่องตาอวนเล็กกว่าสองจุดห้าเซนติเมตรทำการประมงในเขตสิบสองไมล์ทะเลนับจากแนวทะเลชายฝั่งในเวลากลางคืน

การทำการประมงนอกเขตสิบสองไมล์ทะเลตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข พื้นที่ ตามที่รัฐมนตรีมีประกาศกำหนด ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวต้องกำหนดในเรื่องการใช้แสงไฟล่อไว้ด้วย”

หมายความว่า มาตรา 69 ที่แก้ไขเพิ่มเติม อวนที่มีตาเล็กกว่า 2.5 ซม.ที่เรียกกันว่าอวนตาถี่หรืออวนตามุ้ง สามารถใช้ทำประมงในเวลาอื่นได้ และสามารถทำได้นอกเขต 12 ไมล์ทะเลนับจากชายฝั่ง

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบ 239 เสียง จากจำนวนผู้ลงมติ 383 คน ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ผ่านเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งในการประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่ผ่านมา เป็นการพิจารณาวาระ 1 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบรับหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ด้วยเสียง 165 เสียง และมีการตั้งกรรมการวิสามัญเพื่อศึกษา 21 คน ก่อนพิจารณาต่อไป

การพิจารณาแก้ไขพระราชกำหนดประมง พ.ศ.2558 โดยเฉพาะมาตรา 69 มีผู้คัดค้านไม่เห็นด้วยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะชาวประมงพื้นบ้านติดชายฝั่งทะเล 22 จังหวัด ภาคประชาสังคม มีการเคลื่อนไหวจัดกิจกรรมคัดค้านร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้หลายประเด็น ประเด็นหลักคือไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 69 โดยให้เหตุผลสรุปได้ว่า การทำการประมงด้วยอวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตรในเวลากลางคืนทุกพื้นที่ในทะเล (รวมถึงพื้นที่นอกแนวทะเลชายฝั่ง 12 ไมล์ทะเล )ในทางปฏิบัติของการทำประมงในเวลากลางคืน ต้องใช้วิธีจับปลาประกอบกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าปั่นไฟล่อสัตว์น้ำ การทำประมงด้วยช่องตาอวนถี่ซึ่งโดยทั่วไปใช้จับปลาขนาดเล็กมากคือปลากะตัก จะติดลูกปลาซึ่งเป็นสัตว์น้ำวัยอ่อนเข้ามาด้วย จึงเป็นการประมงที่ทำลายพันธุ์สัตว์น้ำ เพราะสัตว์น้ำวัยอ่อนถูกทำลายก่อนวจะเติบโตเต็มที่เป็นการทำลายห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศ

เหตุผลของกลุ่มผู้คัดค้านการแก้ไขกฎหมายประมงฉบับเดิมคือพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 เครือข่ายประมงพื้นบ้าน สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ภาคประชาสังคมด้านสิ่งแวดล้อม ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อวุฒิสภาไปแล้ว โดยเรียกร้องให้พิจารณาหลายข้อ ข้อสำคัญคือเรียกร้องให้ยกเลิกการแก้ไขพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 69 ให้กลับไปใช้บทบัญญัติที่ตราไว้เดิม ความว่า “ห้ามใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ทำการประมงในเวลากลางคืน”

ในอีกแง่มุมหนึ่ง พระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ที่บังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน เป็นกฎหมายที่ออกมาในสมัย คสช. ซึ่งรัฐบาลจากคณะรัฐประหารในเวลานั้นให้เหตุผลว่าต้องการจะแก้ไขปัญหาการประมงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (IUU Fishing) พรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเห็นว่าเป็นการออกกฎหมายฉบับนี้อย่างเร่งรีบและขาดการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงมีการเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการแก้กฎหมายประมง ซึ่งมีการถกเถียงกันทั้งในสภาและนอกสภา ประเด็นที่พูดถึงกันมากก็คือมาตราที่ 69 ตามพระราชกำหนดการประมง ซึ่งฝ่ายคัดค้านเห็นว่า ถ้าแก้ไขมาตรานี้ก็จะทำให้ท้องทะเลไทยจะมีสภาพถึงขั้นหายนะ เพราะจะทำให้สัตว์น้ำวัยอ่อนถูกทำลาย ไม่อยู่รอดเติบโตเป็นทรัพยากรทางทะเลต่อไปได้

ต้องติดตามกันต่อว่าวุฒิสภาจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ในวาระต่อไปและมีมติออกมาอย่างไร ซึ่งจะรู้ผลในอีกไม่นานนี้

สุรชา บุญเปี่ยม / รายงาน

Get notified whenever we post something new!

spot_img

Create a website from scratch

Just drag and drop elements in a page to get started with Newspaper Theme.

Continue reading

พลังมวลชน “เดินหน้าสถาปนา”“ระบอบปชต.ประชาชน”“อัตลักษณ์ไทย”

“….ประเทศไทยติดหล่มการเมืองเลือกตั้ง วนเวียนอยู่กับการสับเปลี่ยนรัฐบาลที่ได้แต่ผู้นำด้อยความสามารถขึ้นบริหารประเทศ สร้างความเบื่อหน่ายให้ประชาชนเป็นอย่างมาก แต่ก็จนปัญญาเพราะไร้ทางออก ทำได้อย่างมากเพียงแค่สละสิทธิ์ไม่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง หากการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมือง จากการเมืองระบอบประชาธิปไตยทุนนิยมเลือกตั้ง ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาก้าวหน้าของประเทศชาติและการสร้างความผาสุกให้แก่ประชาชน ไปเป็นประชาธิปไตยประชาชนคัดสรรโดยสภาประชาชนซึ่งเป็นกลไกอำนาจสูงสุดหนึ่งเดียว อันเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันเข้าของปวงชนชาวไทยที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชาติและประชาชนไทยโดยรวม ที่หลุดพ้นจากการครอบงำของกลุ่มผลประโยชน์ใดๆอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วน มาร่วมกันเป็น"เจ้าภาพ" ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้ให้สามารถดำเนินไปได้เป็นขั้นๆ จนกระทั่งสามารถสถาปนาระบอบประชาธิปไตยประชาชนอัตลักษณ์ไทยได้สำเร็จ จะนำไปสู่การพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืนนี่คือจุดเริ่มต้นของความเป็น"อัตลักษณ์ไทย" ยุคใหม่ ที่จะไม่เหมือนใครในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว….” https://youtu.be/Zd-MwfA3G04 เดินหน้าสถาปนาระบอบประชาธิปไตยประชาชนอัตลักษณ์ไทย为建立泰国特色人民民主制度向前迈进! การชุมนุมมวลชนครั้งใหญ่เมื่อวันเสาร์ที่28มิถุนายนที่ผ่านมา จับแนวคิดชี้นำได้ว่ากำลังมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมือง จากการเมืองระบอบประชาธิปไตยทุนนิยมเลือกตั้ง ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาก้าวหน้าของประเทศชาติและการสร้างความผาสุกให้แก่ประชาชน ไปเป็นประชาธิปไตยประชาชนคัดสรรโดยสภาประชาชนซึ่งเป็นกลไกอำนาจสูงสุดหนึ่งเดียว อันเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันเข้าของปวงชนชาวไทยที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชาติและประชาชนไทยโดยรวม ที่หลุดพ้นจากการครอบงำของกลุ่มผลประโยชน์ใดๆอย่างสิ้นเชิง มองในสายตาประวัติศาสตร์ นี่คือจุดเริ่มต้นของการเขียนประวัติศาสตร์โดยประชาชนของประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ ไม่เพียงแต่กับประเทศไทยเท่านั้น เพราะการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ถือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ที่โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมประเทศชาติได้สูงสุด และยังความผาสุกอยู่ดีกินดี ให้แก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึงที่สุด ก็คือระบอบประชาธิปไตยประชาชนตลอดกระบวนการ หรือ"เฉวียนกั้วเฉิง เหรินหมืนหมิ่นจู่" (全过程人民民主)ของจีน ความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยประชาชนจีน ที่สะท้อนออกมาอย่างทั่วด้านทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การเมืองการทหาร...

“ความคิดเป็นเอกภาพ”เจตนารมณ์ร่วม “เป็นหนึ่งเดียว”“เป้าหมายชัดเจน”คือ“ชัยชนะทางยุทธศาสตร์”ของไทย

“…..ความคิดเป็นเอกภาพ เจตนารมณ์ร่วมเป็นหนึ่งเดียว และเป้าหมายชัดเจน 3 สิ่งนี้คือหลักประกันชัยชนะในแต่ละขั้นตอน ซึ่งก็คือชัยชนะทางยุทธศาสตร์ของการขับเคลื่อนการปรับปรุงใหม่ประเทศไทยครั้งนี้ผู้เขียนยึดหลัก"ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว" ขับเคลื่อนทุกอย่างที่จะนำไปสู่ชัยชนะ จะต้องเริ่มจากความเป็นจริง หรือ"หาสัจจะจากความเป็นจริง" ใช้หลักปรัชญาวัตถุนิยมประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ ยืนยันถึงความเป็นวิทยาศาสตร์ของหลักวินิจฉัยที่ว่า พลังการผลิตคือตัวแปรหลักในการพัฒนาก้าวหน้าของสังคมมนุษย์ ประชาชนคือปัจจัยชี้ขาดของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในแต่ละขั้นตอน ประชาชนคือผู้สร้างประวัติศาสตร์! วันนี้ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่ได้หลุดจากสภาวะการแบ่งแยกตามสีเสื้อ มารวมตัวกันเข้าเป็นหนึ่งเดียวแล้ว จะสามารถแสดงบทบาทเป็นผู้กำหนดเกมการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้เป็นอย่างดี โดยการจับมือกันของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล กับคุณจตุพร พรหมพันธุ์ เมื่อวันที่25พฤษภาคมนี้ เป้าหมายไปยังการปรับปรุงใหม่ประเทศไทย ถัดจากนี้ไป การขับเคลื่อนจะเป็นไปได้ดีแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความตื่นรู้ของมวลชน และยุทธศาสตร์ยุทธวิธีในการเคลื่อนไหวต่อสู้ ซึ่งหนีไม่พ้นการนำของคณะผู้นำว่าชาญฉลาดมากน้อยแค่ไหน สามารถได้รับชัยชนะทางยุทธศาสตร์ในแต่ละขั้นตอนมากน้อยเพียงใด…” https://youtu.be/Lyf3bIN3usg ชัยชนะทางยุทธศาสตร์ 战略胜利 ความคิดเป็นเอกภาพ เจตนารมณ์ร่วมเป็นหนึ่งเดียว และเป้าหมายชัดเจน 3 สิ่งนี้คือหลักประกันชัยชนะในแต่ละขั้นตอน ซึ่งก็คือชัยชนะทางยุทธศาสตร์ของการขับเคลื่อนการปรับปรุงใหม่ประเทศไทยครั้งนี้ ก่อนอื่น ผู้เขียนขอออกตัวตรงนี้ว่า ข้อเขียนนี้มิใช่การปลุกระดมหรือชี้นำอะไร เป็นเพียงข้อวินิจฉัยส่วนตัวตามความเข้าใจของผู้เขียนเอง โดยพื้นฐานแล้ว ข้อเขียนต่างๆทั้งที่เกี่ยวกับจีน...

“แปรสนามรบเป็นสนามการค้า”!!!

https://youtu.be/vfTFssJxDbk เรื่องราวต่างๆ ในโลก บ้างถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ บ้างกลายเป็น “ความลับ” ของคนเพียงไม่กี่คน บางเรื่องสูญสลายไปกับการตายดับของบางคน แต่ละเรื่องมีมุมมองมุมรับรู้กันคนละมิติ มีทั้งจริง 100 % จริงแค่ 80% บางประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ มีความจริงแค่บางส่วน หรือไม่จริงทั้ง 100% ก็มี..จริงไหมล่ะ? วันหนึ่งพี่โต้งเดินมาหาผมที่โต๊ะทำงาน หลังผมเล่าเรื่อง “เบี้ยวเป็นเบี้ยว” ที่ พีรพลกับผมเจอพ่อค้าทั้งไทยและเทศเบี้ยวหลายครั้งในเวียดนาม รวมทั้งคนไทยที่ผมกับพี่โต้งรู้จัก ก็ล้วนโดนเบี้ยวมาแล้วเช่นกัน พี่โต้งถามผมว่า “แล้วทางเวียดนามเคยช่วยอะไรพวกเราบ้างไหม ชัช?” “ผมยังไม่เห็นใครช่วยเลยครับพี่โต้ง แต่ต้องชมพีรพล เขาเก่งและอดทนมากครับ ถึงเขาจะยังไม่ได้เงิน แต่เขาได้สร้างเครือข่ายอย่างมากมายในเวียดนาม ผมรู้มาว่าพีรพลต้องเป็นหนี้สินเยอะเลยครับ.. เอ้อ.. พี่โต้งมีอะไรกับผมไหมครับ?” “พรุ่งนี้พี่อยากให้ชัชมาเจอคนเวียดนามคนหนึ่ง พ่อบอกว่า เขาสนิทกับผู้ใหญ่ระดับสูงมาก ๆ ที่เวียดนาม พี่อยากให้ชัชเล่าเรื่องพีรพลกับนักธุรกิจไทยคนอื่น ๆ...

Enjoy exclusive access to all of our content

Get an online subscription and you can unlock any article you come across.