วันเสาร์, สิงหาคม 16, 2025
หน้าแรกคอลัมนิสต์สุรชา บุญเปี่ยมแก้กฎหมายประมง หายนะท้องทะเลไทย ?

แก้กฎหมายประมง หายนะท้องทะเลไทย ?

ใครที่ติดตามการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อช่วงใกล้สิ้นปี 2567 เป็นประเด็นต่อเนื่องมาถึงต้นปีนี้ คงได้เห็นการถกเถียงเรื่องการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ซึ่งเป็นกฎหมายประมงที่ออกมาในสมัยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประเด็นสำคัญตามร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฯ มาตรา 23 คือการแก้ไขมาตรา 69 ในพระราชกำหนดการทำประมงที่บัญญัติว่า “ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อม ที่มีช่องตาอวนเล็กกว่าสองจุดห้าเซนติเมตรทำการประมงในเวลากลางคืน” โดยให้ยกเลิก และให้ใช้ตามที่บัญญัติใหม่ในร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฯ ว่า “ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อม ที่มีช่องตาอวนเล็กกว่าสองจุดห้าเซนติเมตรทำการประมงในเขตสิบสองไมล์ทะเลนับจากแนวทะเลชายฝั่งในเวลากลางคืน

การทำการประมงนอกเขตสิบสองไมล์ทะเลตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข พื้นที่ ตามที่รัฐมนตรีมีประกาศกำหนด ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวต้องกำหนดในเรื่องการใช้แสงไฟล่อไว้ด้วย”

หมายความว่า มาตรา 69 ที่แก้ไขเพิ่มเติม อวนที่มีตาเล็กกว่า 2.5 ซม.ที่เรียกกันว่าอวนตาถี่หรืออวนตามุ้ง สามารถใช้ทำประมงในเวลาอื่นได้ และสามารถทำได้นอกเขต 12 ไมล์ทะเลนับจากชายฝั่ง

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบ 239 เสียง จากจำนวนผู้ลงมติ 383 คน ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ผ่านเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งในการประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่ผ่านมา เป็นการพิจารณาวาระ 1 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบรับหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ด้วยเสียง 165 เสียง และมีการตั้งกรรมการวิสามัญเพื่อศึกษา 21 คน ก่อนพิจารณาต่อไป

การพิจารณาแก้ไขพระราชกำหนดประมง พ.ศ.2558 โดยเฉพาะมาตรา 69 มีผู้คัดค้านไม่เห็นด้วยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะชาวประมงพื้นบ้านติดชายฝั่งทะเล 22 จังหวัด ภาคประชาสังคม มีการเคลื่อนไหวจัดกิจกรรมคัดค้านร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้หลายประเด็น ประเด็นหลักคือไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 69 โดยให้เหตุผลสรุปได้ว่า การทำการประมงด้วยอวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตรในเวลากลางคืนทุกพื้นที่ในทะเล (รวมถึงพื้นที่นอกแนวทะเลชายฝั่ง 12 ไมล์ทะเล )ในทางปฏิบัติของการทำประมงในเวลากลางคืน ต้องใช้วิธีจับปลาประกอบกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าปั่นไฟล่อสัตว์น้ำ การทำประมงด้วยช่องตาอวนถี่ซึ่งโดยทั่วไปใช้จับปลาขนาดเล็กมากคือปลากะตัก จะติดลูกปลาซึ่งเป็นสัตว์น้ำวัยอ่อนเข้ามาด้วย จึงเป็นการประมงที่ทำลายพันธุ์สัตว์น้ำ เพราะสัตว์น้ำวัยอ่อนถูกทำลายก่อนวจะเติบโตเต็มที่เป็นการทำลายห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศ

เหตุผลของกลุ่มผู้คัดค้านการแก้ไขกฎหมายประมงฉบับเดิมคือพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 เครือข่ายประมงพื้นบ้าน สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ภาคประชาสังคมด้านสิ่งแวดล้อม ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อวุฒิสภาไปแล้ว โดยเรียกร้องให้พิจารณาหลายข้อ ข้อสำคัญคือเรียกร้องให้ยกเลิกการแก้ไขพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 69 ให้กลับไปใช้บทบัญญัติที่ตราไว้เดิม ความว่า “ห้ามใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ทำการประมงในเวลากลางคืน”

ในอีกแง่มุมหนึ่ง พระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ที่บังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน เป็นกฎหมายที่ออกมาในสมัย คสช. ซึ่งรัฐบาลจากคณะรัฐประหารในเวลานั้นให้เหตุผลว่าต้องการจะแก้ไขปัญหาการประมงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (IUU Fishing) พรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเห็นว่าเป็นการออกกฎหมายฉบับนี้อย่างเร่งรีบและขาดการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงมีการเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการแก้กฎหมายประมง ซึ่งมีการถกเถียงกันทั้งในสภาและนอกสภา ประเด็นที่พูดถึงกันมากก็คือมาตราที่ 69 ตามพระราชกำหนดการประมง ซึ่งฝ่ายคัดค้านเห็นว่า ถ้าแก้ไขมาตรานี้ก็จะทำให้ท้องทะเลไทยจะมีสภาพถึงขั้นหายนะ เพราะจะทำให้สัตว์น้ำวัยอ่อนถูกทำลาย ไม่อยู่รอดเติบโตเป็นทรัพยากรทางทะเลต่อไปได้

ต้องติดตามกันต่อว่าวุฒิสภาจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ในวาระต่อไปและมีมติออกมาอย่างไร ซึ่งจะรู้ผลในอีกไม่นานนี้

สุรชา บุญเปี่ยม / รายงาน

Get notified whenever we post something new!

spot_img

Create a website from scratch

Just drag and drop elements in a page to get started with Newspaper Theme.

Continue reading

บิ๊กป้อม! พยัคฆ์..ติดปีก

“พรรคเพื่อไทย” กำลัง “หวั่นไหว” จากสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่โดน “ทหาร” โกยศรัทธาประชาชน ท่ามกลางสถานะ “เสียงปริ่มน้ำ” การเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นอย่างช้าที่สุดภายในปี 2570 เป็นสนามแห่งกลศึกที่ทั้ง “ลุ่ม” และ “ลึก” การเคลื่อนไหวของ “ว่าที่ผู้สมัคร สส.” จำนวน 32 คน ซึ่งบางส่วนมีอดีตคนพรรคเพื่อไทยร่วมด้วย ย้ายซบ “พรรคพลังประชารัฐ” เมื่อกลางเดือนก.ค.68 ที่ผ่านมา มิใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นใน “ชั่วข้ามคืน” การตัดสินใจครั้งนี้ ผ่าน “มุมมอง” และ “ความคิด” อย่างถ้วนถี่ นักการเมือง 32 คน ล้วนเชี่ยวกรากด้วยประสบการณ์ ฝังรากอยู่กับประชาชนในพื้นที่ การ “เดินหมาก” โดยมิรู้ความ...

คำตอบจากใจ “บิ๊กป้อม”

“...ควันหลงวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 79 ปี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้อนรับ บุคคลใกล้ชิด ทั้งทหารตำรวจ นักการเมือง รวมทั้งสื่อมวลชน พร้อมคณะต่างๆ ร่วมอวยพรจำนวนมาก ท่ามกลางบรรยากาศเรียบง่าย เป็นกันเอง...” เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศภายในงาน มีผู้คนจำนวนมาก ทุกคน ทุกคณะ มาแสดงความเคารพเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 79 ปื ของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ด้วยความเคารพรัก ความผูกพัน เนื่องจาก พล.อ.ประวิตร เป็นผู้ใหญ่ที่มีความเมตตากับทุกคน เป็นที่เคารพนับถือของผู้คน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ รวมทั้งข้าราชการ นักการเมือง...

เกมดึงอดีตขุนพลเพื่อไทย

ในจังหวะที่สมรภูมิการเมืองไทยกำลังร้อนแรง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ภายใต้การนำของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ปรับหมากรุกครั้งสำคัญ ด้วยการเปิดประตูรับอดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทยจำนวนมากเข้าสู่ทีม ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่เพียงส่งสัญญาณท้าทายคู่แข่ง แต่ยังสะท้อนวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ที่มุ่งสร้างเครือข่ายอำนาจการเมืองข้ามขั้วอย่างชัดเจน การย้ายขั้วที่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ กระแสข่าวระบุว่าบุคคลที่ตัดสินใจเข้ามาร่วม พปชร. ล้วนเคยมีบทบาทสำคัญในพื้นที่เลือกตั้งเดิมของเพื่อไทย การเคลื่อนกำลังครั้งนี้จึงอาจไม่ใช่เพียงการ “รับคน” แต่เป็นการ “ดึงฐานเสียง” มาเสริมทัพอย่างตรงจุด โดยเฉพาะในจังหวัดที่ถูกมองว่าเป็นฐานเสียงเหนียวแน่นของอีกฝ่าย กลยุทธ์ "รวมพลัง" หรือ "แย่งพลัง"? การเคลื่อนไหวนี้ทำให้เกิดคำถามทางการเมืองสำคัญ—นี่คือการรวมพลังเพื่อต่อสู้กับพรรคการเมืองคู่แข่ง หรือคือการแย่งชิงพลังจากฝ่ายตรงข้ามเพื่อลดความแข็งแกร่งของเขตเลือกตั้ง? ในมิติยุทธศาสตร์ หาก พปชร.สามารถเปิดพื้นที่ในฐานเสียงเดิมของเพื่อไทยได้ ก็อาจเปลี่ยนสมการการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างมีนัยสำคัญ พลเอกประวิตรในบทผู้ออกแบบเกมเลือกตั้ง แม้จะไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เชิงลึก แต่ทิศทางการเคลื่อนไหวชี้ให้เห็นถึง วิสัยทัศน์เชิงเครือข่าย ของพลเอกประวิตร ที่มักมองการเมืองแบบ “เก็บทุกแรง” ไม่ทิ้งโอกาส ไม่ปิดประตูต่ออดีตคู่แข่ง การดึงอดีตนักการเมืองจากฝั่งตรงข้ามเข้ามา อาจสะท้อนภาพลักษณ์ผู้นำที่มุ่งใช้ประสบการณ์และสายสัมพันธ์ส่วนตัว เพื่อเสริมแกร่งให้กับพรรคในทุกสมรภูมิ คำถามที่สังคมจับตา การรวมอดีตคู่แข่งจะนำไปสู่ความสามัคคีจริง หรือจะเกิดความแตกแยกภายใน? การดึงตัวบุคคลสำคัญจากเพื่อไทยครั้งนี้ จะเพียงพอเปลี่ยนดุลอำนาจในพื้นที่เลือกตั้งสำคัญหรือไม่? และสุดท้าย—นี่คือสัญญาณของการต่อสู้ระหว่างขั้วอำนาจเก่ากับขั้วอำนาจใหม่ หรือเป็นเพียงการปรับสมดุลเพื่อความอยู่รอดของพรรค? สิ่งที่แน่ชัดคือ...

Enjoy exclusive access to all of our content

Get an online subscription and you can unlock any article you come across.