วันพุธ, ตุลาคม 1, 2025
หน้าแรกคอลัมนิสต์สุรชา บุญเปี่ยมแก้กฎหมายประมง หายนะท้องทะเลไทย ?

แก้กฎหมายประมง หายนะท้องทะเลไทย ?

ใครที่ติดตามการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อช่วงใกล้สิ้นปี 2567 เป็นประเด็นต่อเนื่องมาถึงต้นปีนี้ คงได้เห็นการถกเถียงเรื่องการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ซึ่งเป็นกฎหมายประมงที่ออกมาในสมัยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประเด็นสำคัญตามร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฯ มาตรา 23 คือการแก้ไขมาตรา 69 ในพระราชกำหนดการทำประมงที่บัญญัติว่า “ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อม ที่มีช่องตาอวนเล็กกว่าสองจุดห้าเซนติเมตรทำการประมงในเวลากลางคืน” โดยให้ยกเลิก และให้ใช้ตามที่บัญญัติใหม่ในร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฯ ว่า “ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อม ที่มีช่องตาอวนเล็กกว่าสองจุดห้าเซนติเมตรทำการประมงในเขตสิบสองไมล์ทะเลนับจากแนวทะเลชายฝั่งในเวลากลางคืน

การทำการประมงนอกเขตสิบสองไมล์ทะเลตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข พื้นที่ ตามที่รัฐมนตรีมีประกาศกำหนด ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวต้องกำหนดในเรื่องการใช้แสงไฟล่อไว้ด้วย”

หมายความว่า มาตรา 69 ที่แก้ไขเพิ่มเติม อวนที่มีตาเล็กกว่า 2.5 ซม.ที่เรียกกันว่าอวนตาถี่หรืออวนตามุ้ง สามารถใช้ทำประมงในเวลาอื่นได้ และสามารถทำได้นอกเขต 12 ไมล์ทะเลนับจากชายฝั่ง

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบ 239 เสียง จากจำนวนผู้ลงมติ 383 คน ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ผ่านเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งในการประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่ผ่านมา เป็นการพิจารณาวาระ 1 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบรับหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ด้วยเสียง 165 เสียง และมีการตั้งกรรมการวิสามัญเพื่อศึกษา 21 คน ก่อนพิจารณาต่อไป

การพิจารณาแก้ไขพระราชกำหนดประมง พ.ศ.2558 โดยเฉพาะมาตรา 69 มีผู้คัดค้านไม่เห็นด้วยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะชาวประมงพื้นบ้านติดชายฝั่งทะเล 22 จังหวัด ภาคประชาสังคม มีการเคลื่อนไหวจัดกิจกรรมคัดค้านร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้หลายประเด็น ประเด็นหลักคือไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 69 โดยให้เหตุผลสรุปได้ว่า การทำการประมงด้วยอวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตรในเวลากลางคืนทุกพื้นที่ในทะเล (รวมถึงพื้นที่นอกแนวทะเลชายฝั่ง 12 ไมล์ทะเล )ในทางปฏิบัติของการทำประมงในเวลากลางคืน ต้องใช้วิธีจับปลาประกอบกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าปั่นไฟล่อสัตว์น้ำ การทำประมงด้วยช่องตาอวนถี่ซึ่งโดยทั่วไปใช้จับปลาขนาดเล็กมากคือปลากะตัก จะติดลูกปลาซึ่งเป็นสัตว์น้ำวัยอ่อนเข้ามาด้วย จึงเป็นการประมงที่ทำลายพันธุ์สัตว์น้ำ เพราะสัตว์น้ำวัยอ่อนถูกทำลายก่อนวจะเติบโตเต็มที่เป็นการทำลายห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศ

เหตุผลของกลุ่มผู้คัดค้านการแก้ไขกฎหมายประมงฉบับเดิมคือพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 เครือข่ายประมงพื้นบ้าน สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ภาคประชาสังคมด้านสิ่งแวดล้อม ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อวุฒิสภาไปแล้ว โดยเรียกร้องให้พิจารณาหลายข้อ ข้อสำคัญคือเรียกร้องให้ยกเลิกการแก้ไขพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 69 ให้กลับไปใช้บทบัญญัติที่ตราไว้เดิม ความว่า “ห้ามใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ทำการประมงในเวลากลางคืน”

ในอีกแง่มุมหนึ่ง พระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ที่บังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน เป็นกฎหมายที่ออกมาในสมัย คสช. ซึ่งรัฐบาลจากคณะรัฐประหารในเวลานั้นให้เหตุผลว่าต้องการจะแก้ไขปัญหาการประมงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (IUU Fishing) พรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเห็นว่าเป็นการออกกฎหมายฉบับนี้อย่างเร่งรีบและขาดการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงมีการเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการแก้กฎหมายประมง ซึ่งมีการถกเถียงกันทั้งในสภาและนอกสภา ประเด็นที่พูดถึงกันมากก็คือมาตราที่ 69 ตามพระราชกำหนดการประมง ซึ่งฝ่ายคัดค้านเห็นว่า ถ้าแก้ไขมาตรานี้ก็จะทำให้ท้องทะเลไทยจะมีสภาพถึงขั้นหายนะ เพราะจะทำให้สัตว์น้ำวัยอ่อนถูกทำลาย ไม่อยู่รอดเติบโตเป็นทรัพยากรทางทะเลต่อไปได้

ต้องติดตามกันต่อว่าวุฒิสภาจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ในวาระต่อไปและมีมติออกมาอย่างไร ซึ่งจะรู้ผลในอีกไม่นานนี้

สุรชา บุญเปี่ยม / รายงาน

Get notified whenever we post something new!

spot_img

Create a website from scratch

Just drag and drop elements in a page to get started with Newspaper Theme.

Continue reading

“รมว.เฮ้ง” บัญชาการเอง!

https://youtu.be/p5hG9Vk2OK0 “...ในภาวะที่ความมั่นคงของชาติบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชากำลังถูกท้าทายอย่างหนัก หลังสัญญาณการปะทะปะทุขึ้นอีกครั้ง "รมว.เฮ้ง" นายสุชาติ ชมกลิ่น ในฐานะเจ้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ก้าวขึ้นมารับบทบาทสำคัญในแนวหลัง สั่งการบัญชาการด้วยตนเองให้เปิดพื้นที่อุทยานแห่งชาติทุกแห่งตามแนวชายแดนเป็น "ฐานที่มั่น" และ "พื้นที่ปลอดภัย" สำหรับอพยพประชาชน ถือเป็นการขานรับคำสั่งนายกรัฐมนตรีอย่างทันท่วงทีและเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ สะท้อนภาพผู้นำที่พร้อมลุยในยามวิกฤต...” "สุชาติ" สั่งลุย! แปลงผืนป่าเป็นฐานทัพมนุษยธรรม เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ทันทีที่ได้รับข้อสั่งการจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่รอช้า สั่งการด่วนไปยัง ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงฯ ให้ระดมสรรพกำลังทั้งหมดที่มีอยู่เข้าสู่ภาวะเตรียมพร้อมสูงสุด ปฏิบัติการภายใต้การบัญชาการของ "รมว.เฮ้ง" ครั้งนี้ มีเป้าหมายชัดเจน คือการเปลี่ยนพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่อยู่ใกล้เคียง...

เปิดปฏิบัติการ “พลิกฟื้นเส้นเลือดใหญ่”

“...20 กันยา “วันอนุรักษ์แม่น้ำ คู คลองแห่งชาติ” ปีนี้ไม่เหมือนเดิม! เมื่อ “ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์” ปลัดหญิง แห่ง ทส. ประกาศกร้าวกลางเวที “ทส. รวมใจ อนุรักษ์แม่น้ำ คู คลอง” ถึงเวลาพลิกฟื้นสายน้ำทั่วประเทศด้วยนโยบายเชิงรุก ดึงแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (National Adaptation Plan: NAP)” เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่คุกคามแหล่งน้ำของไทย พร้อมส่งสัญญาณถึงความร่วมมือทุกภาคส่วน นี่จะเป็นจุดเปลี่ยนของการกอบกู้วิถีชีวิตริมน้ำได้หรือไม่?...” กลับมาอีกครั้งกับวันที่ 20 กันยายน “วันอนุรักษ์และพัฒนาแม่น้ำ คู คลอง แห่งชาติ” วันที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเสด็จประพาสคลองแสนแสบอันเป็นจุดเริ่มต้นของการพลิกฟื้นชีวิตให้ลำคลอง แต่ทว่าในปี 2568...

“สุชาติ” ประกาศวิสัยทัศน์พลิกโฉม ทส.

https://youtu.be/VIQYnkIJxWA ก้าวแรกที่เปี่ยมด้วยพลังและความมุ่งมั่น! 'สุชาติ ชมกลิ่น' ประเดิมตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) อย่างเป็นทางการ ประกาศกร้าวถึงเจตนารมณ์ที่จะนำทัพขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุคใหม่ ด้วยวิสัยทัศน์ 5 มิติที่ชัดเจน พร้อมสร้างบรรทัดฐานการทำงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเปิดกว้างรับฟังผู้มีความสามารถทุกคน เพื่อเร่งสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ เปิดวิสัยทัศน์ 5 มิติ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 หลังเข้ารับตำแหน่ง นายสุชาติ ชมกลิ่น เดินทางเข้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ประกาศแนวทางการทำงานที่ครอบคลุมและทันสมัย 5 ด้าน สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในปัญหาและความมุ่งมั่นที่จะยกระดับกระทรวงฯ สู่มาตรฐานใหม่ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ ได้แก่: น้อมนำแนวพระราชดำริ: ใช้เป็นแกนหลักในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ผสานเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด สร้างเศรษฐกิจยั่งยืน: ผลักดันแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติให้เป็นเครื่องมือสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่ชุมชนและประเทศ แก้ปัญหาภัยพิบัติเชิงรุก: บูรณาการทุกหน่วยงานในกระทรวงฯ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที จัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิต: ยกระดับการแก้ปัญหาฝุ่น...

Enjoy exclusive access to all of our content

Get an online subscription and you can unlock any article you come across.