“ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา กัมพูชามีการละเมิดข้อตกลงหลายร้อยครั้ง โดยเฉพาะการปรับสภาพพื้นที่ชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยได้มีการประท้วงและขอให้แก้ไขอย่างต่อเนื่อง หาก MOU ทั้ง 2 ฉบับคงอยู่ จะทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16”
การที่รัฐบาลพยายามเดินหน้า MOU 2543 และ MOU 2544 แม้ที่มาไม่ถูกต้อง ไม่ต่างจากกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด คาดได้เลยว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร

ทำความเข้าใจง่ายๆ MOU ทั้ง 2 ฉบับว่าคืออะไร
MOU 2543 หรือบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2543 เป็นบันทึกข้อตกลงที่ไทยกับกัมพูชา ทำขึ้นเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาชายแดน บางพื้นที่มีความไม่ชัดเจน เนื่องจากสนธิสัญญากำหนดเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส ทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อน และกลายเป็นข้อพิพาท โดยเฉพาะบริเวณปราสาทพระวิหาร
ส่วน MOU 2544 เป็นบันทึกความเข้าใจ กำหนดกรอบและกลไก ในการเจรจาเพื่อหาข้อสรุปเรื่องการปักปันเขตแดนทางทะเล ในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน 2 ส่วน คือ “พื้นที่ทับซ้อนส่วนบน” ที่อยู่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ มีพื้นที่ประมาณ 10,000 ตร.กม. และ “พื้นที่ทับซ้อนส่วนล่าง” ที่อยู่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ เป็นเรื่องการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียม มีพื้นที่ประมาณ 16,000 ตร.กม.
ข้อผิดพลาดแรกของ MOU ทั้ง 2 ฉบับ คือ ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อน แต่จนปัจจุบัน ยังไม่ผ่านความเห็นชอบแต่อย่างใด
ข้อผิดพลาดที่สอง คือ ตามหลักสากล การกำหนดพื้นที่ทับซ้อน ใช้มาตราส่วน 1:50,000 แต่กัมพูชาต้องการใช้มาตราส่วน 1:200,000
ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา กัมพูชามีการละเมิดข้อตกลงหลายร้อยครั้ง โดยเฉพาะการปรับสภาพพื้นที่ชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยได้มีการประท้วง และขอให้แก้ไขอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลไกที่ได้สร้างเอาไว้
ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 68 พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ในการเจรจา GBC ที่ผ่านมา มีความเป็นห่วงในหลาย ๆ ด้าน เพราะที่ผ่านมา กัมพูชารับปากอะไรแล้ว บิดพริ้วโดยตลอด”
โฆษกพลังประชารัฐ ย้ำให้ประชาชนและสื่อมวลชน จับตามองการเจรจาของรัฐบาล หากมีการยินยอมให้ใช้มาตราส่วน 1:200,000 ประเทศไทยอาจจะเสียดินแดน เหมือนกับที่เคยเสียดินแดนใกล้กับเขาพระวิหาร เมื่อปี พ.ศ. 2556

จุดยืนของพระพลังประชารัฐคือ รัฐบาลต้องยกเลิก MOU 43-44
เพราะมีความเสี่ยงที่ประเทศไทย ต้องเสียผืนแผ่นดินไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะมีอดีตนักการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไปเซ็นเอกสารรับรองแผนที่ 1:200,000 แทนที่จะใช้แผนที่ 1:50,000 ที่ใช้เป็นสากลในปัจจุบัน
ซึ่งหาก MOU ทั้ง 2 ฉบับ คงอยู่จะทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนครั้งที่ 16
ขณะที่ นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อย่าเสี่ยงจงใจขัดรัฐธรรมนูญ! MOU 44 ต้องผ่านรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 178
เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 178 ซึ่งออกมาบังคับใช้ภายหลัง ได้เพิ่มเงื่อนไขอื่นเข้ามา แตกต่างออกไปจากรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 224 เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ให้รัดกุมขึ้น รัฐบาลปัจจุบันก็ต้องปฏิบัติตาม
โดยนำ MOU 2544 มาขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งก็ไม่ได้ช้าหรือเสียเวลาอะไรมากมาย
รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 178 วรรคสอง บัญญัติให้รัฐสภา ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน ถ้าไม่เสร็จ ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ
เมื่อรัฐบาลมั่นใจว่ากรอบการเจรจาตาม MOU 2544 ถูกต้องเหมาะสมที่สุด และมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีอะไรต้องเกรงเลย
ดีเสียอีกที่รัฐบาลจะได้อาศัยเวทีรัฐสภา ชี้แจงอย่างละเอียด รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจาก สส. และ สว. ในฐานะ “ผู้แทนปวงชนชาวไทย” ไปพร้อมกัน
เราเสียเวลามาแล้ว นับแต่เจรจาครั้งแรกเมื่อปี 2513 และก็ 2554 ปี หรือนับจากที่มี MOU 2544 ก็ 23 ปี
จะเสียอีกสัก 60 หรือ 90 วัน ไม่ได้หรือ ?
ถ้าผ่านทั้ง 2 ด่านก็จะได้เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง ถ้าไม่ผ่านก็จะได้หาหนทางใหม่
ถ้ารัฐบาลยืนยัน “2 ไม่“ กล่าวคือ
- ไม่นำ MOU 2544 ขอความเห็นชอบจากรัฐสภา
- ไม่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าต้องนำ MOU 2544 ขอความเห็นชอบจากรัฐสภาหรือไม่
เสี่ยงมากนะ ! เพราะอาจต้องเจอ “ไม่ที่ 3” คือไม่ได้อยู่บริหารประเทศต่อไปกันทั้งคณะรัฐมนตรี เนื่องจากมีโอกาสจะถูกกล่าวหาว่า จงใจกระทำการขัดรัฐธรรมนูญ

ด้าน พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวในงานวันคล้ายวันเกิดครบ 80 ปี ว่า ควรจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ตรวจสอบสถานการณ์ชายแดน เพราะไม่มั่นใจนักการเมือง ที่อาจขัดขวางการทำงานของฝ่ายความมั่นคง
“สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเรื่องที่ผมให้ความสำคัญ และติดตามมาโดยตลอด ผมขอแสดงความห่วงใยอย่างยิ่ง ต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ขอให้พวกเราทุกคนร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อปกป้องบ้านเมืองและรักษาความสงบสุขของประเทศไทยไว้ให้ได้” บิ๊กป้อม กล่าว
#สืบจากข่าว รายงาน