ในจังหวะที่สมรภูมิการเมืองไทยกำลังร้อนแรง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ภายใต้การนำของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ปรับหมากรุกครั้งสำคัญ ด้วยการเปิดประตูรับอดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทยจำนวนมากเข้าสู่ทีม ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่เพียงส่งสัญญาณท้าทายคู่แข่ง แต่ยังสะท้อนวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ที่มุ่งสร้างเครือข่ายอำนาจการเมืองข้ามขั้วอย่างชัดเจน

การย้ายขั้วที่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
กระแสข่าวระบุว่าบุคคลที่ตัดสินใจเข้ามาร่วม พปชร. ล้วนเคยมีบทบาทสำคัญในพื้นที่เลือกตั้งเดิมของเพื่อไทย การเคลื่อนกำลังครั้งนี้จึงอาจไม่ใช่เพียงการ “รับคน” แต่เป็นการ “ดึงฐานเสียง” มาเสริมทัพอย่างตรงจุด โดยเฉพาะในจังหวัดที่ถูกมองว่าเป็นฐานเสียงเหนียวแน่นของอีกฝ่าย
กลยุทธ์ “รวมพลัง” หรือ “แย่งพลัง”?
การเคลื่อนไหวนี้ทำให้เกิดคำถามทางการเมืองสำคัญ—นี่คือการรวมพลังเพื่อต่อสู้กับพรรคการเมืองคู่แข่ง หรือคือการแย่งชิงพลังจากฝ่ายตรงข้ามเพื่อลดความแข็งแกร่งของเขตเลือกตั้ง? ในมิติยุทธศาสตร์ หาก พปชร.สามารถเปิดพื้นที่ในฐานเสียงเดิมของเพื่อไทยได้ ก็อาจเปลี่ยนสมการการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

พลเอกประวิตรในบทผู้ออกแบบเกมเลือกตั้ง
แม้จะไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เชิงลึก แต่ทิศทางการเคลื่อนไหวชี้ให้เห็นถึง วิสัยทัศน์เชิงเครือข่าย ของพลเอกประวิตร ที่มักมองการเมืองแบบ “เก็บทุกแรง” ไม่ทิ้งโอกาส ไม่ปิดประตูต่ออดีตคู่แข่ง การดึงอดีตนักการเมืองจากฝั่งตรงข้ามเข้ามา อาจสะท้อนภาพลักษณ์ผู้นำที่มุ่งใช้ประสบการณ์และสายสัมพันธ์ส่วนตัว เพื่อเสริมแกร่งให้กับพรรคในทุกสมรภูมิ
คำถามที่สังคมจับตา
- การรวมอดีตคู่แข่งจะนำไปสู่ความสามัคคีจริง หรือจะเกิดความแตกแยกภายใน?
- การดึงตัวบุคคลสำคัญจากเพื่อไทยครั้งนี้ จะเพียงพอเปลี่ยนดุลอำนาจในพื้นที่เลือกตั้งสำคัญหรือไม่?
- และสุดท้าย—นี่คือสัญญาณของการต่อสู้ระหว่างขั้วอำนาจเก่ากับขั้วอำนาจใหม่ หรือเป็นเพียงการปรับสมดุลเพื่อความอยู่รอดของพรรค?
สิ่งที่แน่ชัดคือ เกมนี้ยังไม่จบ และทุกหมากที่พลังประชารัฐวางกำลังจะกำหนดทิศทางการเมืองไทยในปีเลือกตั้งที่จะมาถึง