“พรรคเพื่อไทย” กำลัง “หวั่นไหว” จากสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่โดน “ทหาร” โกยศรัทธาประชาชน ท่ามกลางสถานะ “เสียงปริ่มน้ำ” การเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นอย่างช้าที่สุดภายในปี 2570 เป็นสนามแห่งกลศึกที่ทั้ง “ลุ่ม” และ “ลึก”
การเคลื่อนไหวของ “ว่าที่ผู้สมัคร สส.” จำนวน 32 คน ซึ่งบางส่วนมีอดีตคนพรรคเพื่อไทยร่วมด้วย ย้ายซบ “พรรคพลังประชารัฐ” เมื่อกลางเดือนก.ค.68 ที่ผ่านมา มิใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นใน “ชั่วข้ามคืน”
การตัดสินใจครั้งนี้ ผ่าน “มุมมอง” และ “ความคิด” อย่างถ้วนถี่
นักการเมือง 32 คน ล้วนเชี่ยวกรากด้วยประสบการณ์ ฝังรากอยู่กับประชาชนในพื้นที่ การ “เดินหมาก” โดยมิรู้ความ “เคลื่อนไหว” นั้น “เป็นไปไม่ได้”
คำถามคือ ทำไมต้องเป็น “พรรคพลังประชารัฐ”
พรรคพลังประชารัฐ ในวันที่ “บาดแผล” ของเจ้าสำนักอย่าง “บิ๊กป้อม” ยังปรากฏร่องรอยการถูกทิ่มแทง ถูกแยกลูกพรรคเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเข้าร่วมกับเพื่อไทย นำโดย “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” จบเกม สส.ขั้วของ “บิ๊กป้อม” ถูกผลักไสให้กลายเป็น “ฝ่ายค้าน” จนต้องร้องเพลง “เจ็บนี้อีกนาน”
ใครๆ ก็คิดว่า “บิ๊กป้อม” คงถอดใจ “ปิดฉาก” การเมือง หันไปใช้ชีวิตแบบ “ชิว..ชิว”
ทว่า การย้ายขั้วของ “ว่าที่ผู้สมัคร สส. 32 คน” ทำให้ชื่อ “บิ๊กป้อม” กลับมา “เจิดจรัส” อีกครั้ง
ภายใต้สถานการณ์สั่นคลอนของ “พรรคเพื่อไทย” ผสมกับความ “ขัดแย้ง” ของ “ภูมิใจไทย” ที่กระเด็นตามพรรคพลังประชารัฐ ออกไปเป็น “ฝ่ายค้าน”
ท่ามกลาง “ศรัทธา” ที่ลดฮวบฮาบของรัฐบาล และความไม่แน่นอนบนเส้นทางการเมืองของ “แพทองธาร” กำลังบ่งบอกถึงการ “เปลี่ยนแปลง”
อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร คือ แคนดิเดตนายกฯ ที่มีชื่ออยู่ในบัญชี หาก แพทองธาร เลือกการลาออกแล้วเปิดทางให้ที่ประชุมสภาฯเลือกนายกฯคนใหม่ ชื่อ “บิ๊กป้อม” จะถูกบรรจุในโผแน่นอน
หาก พล.อ.ประวิตร ไม่ถูก “ผลักไส” บีบให้ไปเป็นฝ่ายค้าน ภาพความมั่นคงของรัฐบาลย่อมน่า “เชื่อถือ” มากกว่านี้
เพราะ “บิ๊กป้อม” ถือเป็น “ผู้มากบารมี” ในวงการทหารและพรรคการเมืองสายคอนเซอร์เวทีฟ มีบทบาทเด่นทั้งในยุครัฐบาลพลเรือน ยุค คสช. จนถึงยุคปัจจุบัน
บิ๊กป้อม ได้รับการยอมรับว่า เป็นนักบริหารเครือข่ายชั้นยอด มีความสามารถในการ “จัดการกลุ่มผลประโยชน์” ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อนโยบายเศรษฐกิจ เช่น การลงทุนโครงการขนาดใหญ่, การลงทุนของกลุ่มรัฐวิสาหกิจ เป็น “ตัวกลาง” ประสานนักการเมือง–นักธุรกิจ–ราชการ อย่างลงตัว
ด้วยเครือข่ายระดับสูงทั้งในฝ่ายความมั่นคง รัฐราชการ และพรรคการเมือง บิ๊กป้อมจึงมีศักยภาพผลักดันนโยบายสำคัญโดยไม่ติดขัด ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการบริหารจัดการยุคใหม่
เมื่อ “พยัคฆ์” หาย “บาดเจ็บ” การกลับมาครั้งใหม่จะ “แข็งแกร่ง” กว่าเดิม!
