วันอังคาร, กรกฎาคม 1, 2025
หน้าแรกคอลัมนิสต์สุรชา บุญเปี่ยมฝุ่น PM2.5 ภัยเงียบคุกคามสุขภาพประชาชน

ฝุ่น PM2.5 ภัยเงียบคุกคามสุขภาพประชาชน

ช่วงต้นปี 2562 หรือเมื่อ 6 ปีก่อน ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูหนาวต่อฤดูร้อน เกิดปรากฏการณ์ฝุ่นปกคลุมกรุงเทพมหานคร บางส่วนของภาคภาคกลาง ภาคอีสาน ในภาคเหนือโดยเฉพาะภาคเหนือตอนบนฝุ่นปกคลุมแทบทุกพื้นที่ทุกจังหวัด คนไทยได้รับรู้ว่าฝุ่นที่เกิดขึ้นคือฝุ่น PM2.5 เป็นฝุ่นละอองขนาดจิ๋วที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน เป็นส่วนหนึ่งที่มีส่วนชี้วัดคุณภาพอากาศ ซึ่งต่อมาคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้ประกาศเตือนเมื่อปี 2566 ว่า ฝุ่นละอองที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ต้องไม่เกิน 37.5 ไมครอนกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) จึงจะปลอดภัยต่อสุขภาพคนทั่วไป

ฝุ่น PM2.5 เกิดขึ้นทุกปี สถานการณ์ปีนี้มีรายงานอย่างเป็นทางการผ่านสื่อแทบทุกแขนงว่า สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 อยู่ในขั้นรุนแรง โดยตามข้อมูลของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)  รายงานสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 เมื่อวันพุธ 22 มกราคม ที่ผ่านมา เวลา 07.00 น.ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล มีฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐานทุกเขต โดย 3 อันดับแรก อันดับ 1 คือเขตหนองแขม 104.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก/ลบ.ม.)ตามมาด้วยเขตบางบอน 97.1 มคก./ลบ.ม. และเขตทวีวัฒนา 95.6 มคก./ลบ.ม.

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ล่าสุดขณะรายงาน วันที่ 24 ม.ค. 2568 ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ รายงานการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศ ประจำวันที่ 24 มกราคม 2568 เวลา 7.00 น. สรุปภาพรวมปริมาณ PM2.5 ในประเทศพบเกินค่ามาตรฐานใน 60 จังหวัดในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน โดยภาคเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 16.0 – 82.2 ไมโครกรัม /ลูกบาศก์เมตร (มคก/ลบ.ม.)

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 34.9 – 85.6 มคก./ลบ.ม.
ภาคกลางและตะวันตก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 34.8 – 113.5 มคก./ลบ.ม.
ภาคตะวันออก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 55.8 – 105.0 มคก./ลบ.ม.
ภาคใต้ เกินค่ามาตรฐาน 1 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 19.0 – 41.5 มคก./ลบ.ม. กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยสถานีตรวจวัดของกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับกรุงเทพมหานคร เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 61.2 – 112.4 มคก./ลบ.ม.

ที่ผ่านมา สถาบันวิจัยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศวิเคราะห์ วิจัยสาเหตุของการเกิด PM 2.5 พบว่าส่วนใหญ่เกิดจากการเผาไหม้ ทั้งจากเครื่องยนต์ของยานพาหนะ และการเผาวัสดุต่างๆ รวมถึงวัสดุทางการเกษตร โดยข้อมูลจากกรมมลพิษ และกระทรวงพลังงาน พบว่า สาเหตุของ PM2.5 ในประเทศไทยมาจากการเผาในที่โล่ง เป็นแหล่งกำเนิดของ PM 2.5 มากที่สุด ตามด้วยอุตสาหกรรมการผลิต และการขนส่ง สำหรับฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพมหานคร สาเหตุหลักมาจากยานพาหนะรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และการเผาทำให้เกิดโดยเฉพาะการเผาวัสดุทางการเกษตร เป็นฝุ่นที่ลอยมาจากรอบนอกกรุงเทพมหานครเมื่อประกอบกับสภาพอากาศปิดทำให้มีฝุ่นปกคลุมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ปีนี้ คุณภาพอากาศอยู่ในขั้นย่ำแย่ ทำให้โรงเรียนในกรุงเทพมหานคร 103 โรงเรียน ต้องปิดเรียนชั่วคราวหลายวัน เพื่อไม่ให้นักเรียนได้รับฝุ่นจนมีปัญหาด้านสุขภาพ

ในทางการแพทย์ ฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน มีรายงานว่าปีที่ป่านๆมา มีผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพราะได้รับฝุ่น PM 2.5 จำนวนมาก โดยจากเว็บไซต์โรงพยาบาลศิครินทร์ เผยแพร่ข้อมูลทางการแพทย์ไว้อย่างน่าสนใจ จึงขออ้างอิงในบทความนี้ด้วยเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชน

“ ฝุ่นสามารถเข้าสู่ทางโพรงจมูก แล้วเข้าสู่กระแสเลือด นอกจากนี้แล้ว ฝุ่นยังเป็นพาหะนำสารอื่นเข้ามาด้วย เช่น แคดเมียม ปรอท โลหะหนักไฮโดรคาร์บอน และสารก่อมะเร็งจำนวนมาก ด้วยขนาดที่เล็กของ PM 2.5 ทำให้ฝุ่นละอองชนิดนี้สามารถแพร่กระจายเข้าสู่ทางเดินหายใจ กระแสเลือด และแทรกซึมสู่กระบวนการทำงานในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น มะเร็งปอด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดในสมอง ติดเชื้อเฉียบพลันในระบบหายใจส่วนล่าง โรคผิวหนัง ภูมิแพ้ ไซนัส
ที่น่ากลัวกว่านั้น มีข้อมูลจากสมาคมโรคหัวใจของอเมริกาว่า หากคนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น ความดัน ไขมัน เบาหวาน โรคหัวใจ เส้นเลือดในสมอง สัมผัสกับฝุ่นควัน PM 2.5 เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง จะกระตุ้นให้เกิดอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หัวใจวาย เส้นเลือดในสมองตีบ หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจถึงเสียชีวิต ได้เลย “

ฝุ่น PM2.5 จึงเป็นภัยคุกคามสุขภาพประชาชนคนไทย ซึ่งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองประธานกรรมการกองทุน สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ) ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่ค่าเกินมาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในหลายพื้นที่ พบว่ามีประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานกว่า 38 ล้านคนในจำนวนนี้ 15 ล้านคน เป็นกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และ 6 ล้านคน เป็นเด็กและเยาวชน มีจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศสูงถึง 12 ล้านคน ซึ่งจะมีการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนผ่านการออกกฎหมายผ่านสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

ฝุ่น PM2.5 เป็นภัยเงียบที่ส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในระยะยาว กรมการแพทย์ได้เผยแพร่วิธีการให้ประชาชนดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากฝุ่น PM2.5 ด้วยการสวมหน้ากาก N95 หรือหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี คือ คลุมจมูกลงมาถึงใต้คาง และต้องแนบสนิทกับใบหน้า เพื่อป้องกันฝุ่น เลี่ยงกิจกรรมนอกบ้าน ในบริเวณที่มีค่ามลพิษอากาศสูง หมั่นทำความสะอาดบ้าน เพื่อลดการสะสมของฝุ่นภายในบ้าน เลี่ยงกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 เช่น การเผาขยะ การเผาหญ้า การจอดรถติดเครื่องยนต์ไว้เป็นระยะเวลานาน และตรวจเช็คสภาพรถยนต์ให้อยู่ในสภาวะปกติ ไม่ก่อควันดำ หากพบว่าตนเองมีอาการผิดปกติของร่างกาย เช่น ไอ เหนื่อย แน่นหน้าอก ควรปรึกษาแพทย์ทันที และที่สำคัญ ควรติดตามข้อมูลข่าวสารด้านมลพิษทางอากาศเป็นประจำ เพื่อป้องกันฝุ่นละอองและความปลอดภัยต่อสุขภาพ

ฝุ่น PM2.5 เป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชน หน่วยงานของรัฐหลายภาคส่วนมีหน้าที่แก้ปัญหา ขณะเดียวกัน ประชาชนก็ต้องป้องกันตนเองอย่างถูกวิธีด้วย เพราะสุขภาพของประชาชนแต่ละคนเป็นเรื่องสำคัญ การได้รับฝุ่น PM2.5 สะสมในร่างกายอาจไม่เห็นอาการเจ็บป่วยในวันนี้แต่จะส่งผลให้เกิดโรคที่เกี่ยวเนื่องในระยะยาวก็ได้

Get notified whenever we post something new!

spot_img

Create a website from scratch

Just drag and drop elements in a page to get started with Newspaper Theme.

Continue reading

พลังมวลชน “เดินหน้าสถาปนา”“ระบอบปชต.ประชาชน”“อัตลักษณ์ไทย”

“….ประเทศไทยติดหล่มการเมืองเลือกตั้ง วนเวียนอยู่กับการสับเปลี่ยนรัฐบาลที่ได้แต่ผู้นำด้อยความสามารถขึ้นบริหารประเทศ สร้างความเบื่อหน่ายให้ประชาชนเป็นอย่างมาก แต่ก็จนปัญญาเพราะไร้ทางออก ทำได้อย่างมากเพียงแค่สละสิทธิ์ไม่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง หากการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมือง จากการเมืองระบอบประชาธิปไตยทุนนิยมเลือกตั้ง ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาก้าวหน้าของประเทศชาติและการสร้างความผาสุกให้แก่ประชาชน ไปเป็นประชาธิปไตยประชาชนคัดสรรโดยสภาประชาชนซึ่งเป็นกลไกอำนาจสูงสุดหนึ่งเดียว อันเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันเข้าของปวงชนชาวไทยที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชาติและประชาชนไทยโดยรวม ที่หลุดพ้นจากการครอบงำของกลุ่มผลประโยชน์ใดๆอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วน มาร่วมกันเป็น"เจ้าภาพ" ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้ให้สามารถดำเนินไปได้เป็นขั้นๆ จนกระทั่งสามารถสถาปนาระบอบประชาธิปไตยประชาชนอัตลักษณ์ไทยได้สำเร็จ จะนำไปสู่การพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืนนี่คือจุดเริ่มต้นของความเป็น"อัตลักษณ์ไทย" ยุคใหม่ ที่จะไม่เหมือนใครในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว….” https://youtu.be/Zd-MwfA3G04 เดินหน้าสถาปนาระบอบประชาธิปไตยประชาชนอัตลักษณ์ไทย为建立泰国特色人民民主制度向前迈进! การชุมนุมมวลชนครั้งใหญ่เมื่อวันเสาร์ที่28มิถุนายนที่ผ่านมา จับแนวคิดชี้นำได้ว่ากำลังมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางการเมือง จากการเมืองระบอบประชาธิปไตยทุนนิยมเลือกตั้ง ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาก้าวหน้าของประเทศชาติและการสร้างความผาสุกให้แก่ประชาชน ไปเป็นประชาธิปไตยประชาชนคัดสรรโดยสภาประชาชนซึ่งเป็นกลไกอำนาจสูงสุดหนึ่งเดียว อันเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันเข้าของปวงชนชาวไทยที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชาติและประชาชนไทยโดยรวม ที่หลุดพ้นจากการครอบงำของกลุ่มผลประโยชน์ใดๆอย่างสิ้นเชิง มองในสายตาประวัติศาสตร์ นี่คือจุดเริ่มต้นของการเขียนประวัติศาสตร์โดยประชาชนของประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ ไม่เพียงแต่กับประเทศไทยเท่านั้น เพราะการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ถือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ที่โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมประเทศชาติได้สูงสุด และยังความผาสุกอยู่ดีกินดี ให้แก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึงที่สุด ก็คือระบอบประชาธิปไตยประชาชนตลอดกระบวนการ หรือ"เฉวียนกั้วเฉิง เหรินหมืนหมิ่นจู่" (全过程人民民主)ของจีน ความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยประชาชนจีน ที่สะท้อนออกมาอย่างทั่วด้านทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การเมืองการทหาร...

“ความคิดเป็นเอกภาพ”เจตนารมณ์ร่วม “เป็นหนึ่งเดียว”“เป้าหมายชัดเจน”คือ“ชัยชนะทางยุทธศาสตร์”ของไทย

“…..ความคิดเป็นเอกภาพ เจตนารมณ์ร่วมเป็นหนึ่งเดียว และเป้าหมายชัดเจน 3 สิ่งนี้คือหลักประกันชัยชนะในแต่ละขั้นตอน ซึ่งก็คือชัยชนะทางยุทธศาสตร์ของการขับเคลื่อนการปรับปรุงใหม่ประเทศไทยครั้งนี้ผู้เขียนยึดหลัก"ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว" ขับเคลื่อนทุกอย่างที่จะนำไปสู่ชัยชนะ จะต้องเริ่มจากความเป็นจริง หรือ"หาสัจจะจากความเป็นจริง" ใช้หลักปรัชญาวัตถุนิยมประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ ยืนยันถึงความเป็นวิทยาศาสตร์ของหลักวินิจฉัยที่ว่า พลังการผลิตคือตัวแปรหลักในการพัฒนาก้าวหน้าของสังคมมนุษย์ ประชาชนคือปัจจัยชี้ขาดของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในแต่ละขั้นตอน ประชาชนคือผู้สร้างประวัติศาสตร์! วันนี้ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่ได้หลุดจากสภาวะการแบ่งแยกตามสีเสื้อ มารวมตัวกันเข้าเป็นหนึ่งเดียวแล้ว จะสามารถแสดงบทบาทเป็นผู้กำหนดเกมการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้เป็นอย่างดี โดยการจับมือกันของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล กับคุณจตุพร พรหมพันธุ์ เมื่อวันที่25พฤษภาคมนี้ เป้าหมายไปยังการปรับปรุงใหม่ประเทศไทย ถัดจากนี้ไป การขับเคลื่อนจะเป็นไปได้ดีแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความตื่นรู้ของมวลชน และยุทธศาสตร์ยุทธวิธีในการเคลื่อนไหวต่อสู้ ซึ่งหนีไม่พ้นการนำของคณะผู้นำว่าชาญฉลาดมากน้อยแค่ไหน สามารถได้รับชัยชนะทางยุทธศาสตร์ในแต่ละขั้นตอนมากน้อยเพียงใด…” https://youtu.be/Lyf3bIN3usg ชัยชนะทางยุทธศาสตร์ 战略胜利 ความคิดเป็นเอกภาพ เจตนารมณ์ร่วมเป็นหนึ่งเดียว และเป้าหมายชัดเจน 3 สิ่งนี้คือหลักประกันชัยชนะในแต่ละขั้นตอน ซึ่งก็คือชัยชนะทางยุทธศาสตร์ของการขับเคลื่อนการปรับปรุงใหม่ประเทศไทยครั้งนี้ ก่อนอื่น ผู้เขียนขอออกตัวตรงนี้ว่า ข้อเขียนนี้มิใช่การปลุกระดมหรือชี้นำอะไร เป็นเพียงข้อวินิจฉัยส่วนตัวตามความเข้าใจของผู้เขียนเอง โดยพื้นฐานแล้ว ข้อเขียนต่างๆทั้งที่เกี่ยวกับจีน...

“แปรสนามรบเป็นสนามการค้า”!!!

https://youtu.be/vfTFssJxDbk เรื่องราวต่างๆ ในโลก บ้างถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ บ้างกลายเป็น “ความลับ” ของคนเพียงไม่กี่คน บางเรื่องสูญสลายไปกับการตายดับของบางคน แต่ละเรื่องมีมุมมองมุมรับรู้กันคนละมิติ มีทั้งจริง 100 % จริงแค่ 80% บางประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ มีความจริงแค่บางส่วน หรือไม่จริงทั้ง 100% ก็มี..จริงไหมล่ะ? วันหนึ่งพี่โต้งเดินมาหาผมที่โต๊ะทำงาน หลังผมเล่าเรื่อง “เบี้ยวเป็นเบี้ยว” ที่ พีรพลกับผมเจอพ่อค้าทั้งไทยและเทศเบี้ยวหลายครั้งในเวียดนาม รวมทั้งคนไทยที่ผมกับพี่โต้งรู้จัก ก็ล้วนโดนเบี้ยวมาแล้วเช่นกัน พี่โต้งถามผมว่า “แล้วทางเวียดนามเคยช่วยอะไรพวกเราบ้างไหม ชัช?” “ผมยังไม่เห็นใครช่วยเลยครับพี่โต้ง แต่ต้องชมพีรพล เขาเก่งและอดทนมากครับ ถึงเขาจะยังไม่ได้เงิน แต่เขาได้สร้างเครือข่ายอย่างมากมายในเวียดนาม ผมรู้มาว่าพีรพลต้องเป็นหนี้สินเยอะเลยครับ.. เอ้อ.. พี่โต้งมีอะไรกับผมไหมครับ?” “พรุ่งนี้พี่อยากให้ชัชมาเจอคนเวียดนามคนหนึ่ง พ่อบอกว่า เขาสนิทกับผู้ใหญ่ระดับสูงมาก ๆ ที่เวียดนาม พี่อยากให้ชัชเล่าเรื่องพีรพลกับนักธุรกิจไทยคนอื่น ๆ...

Enjoy exclusive access to all of our content

Get an online subscription and you can unlock any article you come across.