“… ปัญหามลพิษทางอากาศขนาดใหญ่ที่รัฐบาลไม่พูดถึงเรื่องหนึ่งคือ ปัญหาการคอรัปชั่น ของผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการควบคุมฝุ่น โดยแหล่งกำเนิดฝุ่นมลพิษ #PM25 ในกรุงเทพฯเรามักจะพุ่งเป้าไปที่รถยนต์เป็นหลัก แต่พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีแหล่งกำเนิดฝุ่นและคาร์บอนไดออกไซด์ขนาดใหญ่ คือโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล โรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังผลิตสูงมาก ซึ่งปล่อยฝุ่นมากกว่ารถยนต์หลายเท่า การต่อกรกับวิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5 ได้จริงจะต้องจัดการกับผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ดังกล่าว พื้นที่วิกฤตที่มีการปลดปล่อยสูงสุดคือ อ.เมืองสมุทรสาคร ซึ่งจากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรมเมื่อปี 2560 พบว่า มีจำนวนโรงงานอุตสาหกรรม 13,272 แห่งที่เป็นแหล่งก่อมลพิษทางอากาศ ที่น่าตกใจที่สุดคือมีโรงงานปล่อยฝุ่นพิษอยู่ในกรุงเทพและปริมณฑลมากถึง 1,522 แห่ง ทำไมกระทรวงอุตสาหกรรมไม่สั่งปิดโรงงานที่ปล่อยมลพิษทุกแห่ง ในขณะประเทศอื่นเขาสั่งปิดโรงงานทันที ปัญหาของโรงงานเหล่านี้ ถ้าทำให้ถูกระเบียบตามมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากต้องเปลี่ยนเครื่องจักร ยังต้องจัดการกับระบบแวดล้อมที่จำเป็นต่อการควบคุมมลพิษ ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ผู้ประกอบการโรงงานเหล่านี้จึงยอมโยนเศษเนื้อให้สุนัข ดีกว่าเสียเนื้อดีทั้งตัว เป็นช่องว่างให้ข้าราชการ นักการเมืองเลวๆ ซึ่งเป็นที่รู้ๆ กันว่า “มีจำนวนไม่น้อย” รับส่วยสินบน กินกันพุงกาง…ต่อไป…”
จากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก #PM25 ในประเทศไทย หลายพื้นที่มีค่าฝุ่นสูงเกินมาตรฐาน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าวด่วนถึงข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ให้กระทรวงคมนาคมและส่วนราชการอื่นๆ สนับสนุนการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันในกรุงเทพมหานคร ว่า ตั้งแต่วันที่ 25 -31 ม.ค.นี้ รัฐบาลจะเปิดให้ประชาชนขึ้นใช้บริการรถไฟฟ้าฟรีทุกสาย รวมถึงรถเมล์ขสมก. ฟรี เพื่อเป็นหนึ่งในมาตรการลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ที่กำลังหนักหน่วงในตอนนี้
ท่ามกลางปัญหาฝุ่นละอองที่กำลังวิกฤติของกรุงเทพมหานคร ที่รัฐบาลบาลยังงุมมะงาหรา หาทางแก้ไขไม่ได้อยู่ขณะ พร้อมกับข้าราชการไทยหลายภาคส่วนได้ส่งข้อมูลป้อนไปยังรับบาลว่าปัญหามงพิษเกิดจากรถยนต์ การเผาป่า แต่ข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Tara Buakamsri (ธารา บัวคำศรี) ผู้อำนวยการ กรีนพีซ ประเทศไทย ระบุถึงต้นตอที่มาของฝุ่นพิษ มลพิษทางอากาศรุนแรงที่กำลังอยู่ในระดับวิกฤต โดยระบุถึง แหล่งกำเนิดฝุ่นและคาร์บอนไดออกไซด์ขนาดใหญ่ คือโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล และโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังผลิตสูงมาก ซึ่งปล่อยฝุ่นมากกว่ารถยนต์หลายเท่า!
*** แหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศขนาดใหญ่ที่รัฐบาลไม่พูดถึงปัญหาการคอรัปชั่น ได้รับผลประโยชน์จากบุคคลที่ดูแลเรื่อง กลายเป็นเรื่องที่น่าจับตามองไปแล้ว
ข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Tara Buakamsri (ธารา บัวคำศรี) ผู้อำนวยการ กรีนพีซ ประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อเกิดวิกฤตฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ เรามักจะพุ่งเป้าไปที่รถยนต์เป็นหลัก แต่แหล่งกำเนิดของฝุ่นพิษ PM2.5 ไม่ใช่แค่นั้น พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีแหล่งกำเนิดฝุ่นและคาร์บอนไดออกไซด์ขนาดใหญ่ คือโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล โรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังผลิตสูงมาก ซึ่งปล่อยฝุ่นมากกว่ารถยนต์หลายเท่า การต่อกรกับวิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5 ได้จริงจะต้องจัดการกับผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ดังกล่าว
ข้อมูลจากรายงาน EIA – โรงไฟฟ้าพระนครใต้ กำลังผลิตรวม 1,930 เมกะวัตต์ และมีแผนจะขยายเพิ่มรวมทั้งสิ้นเป็น 4,519.4 เมกะวัตต์ในปี 2569-2570 ซึ่งเมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วจะปล่อยฝุ่นละอองสู่บรรยากาศวันละกว่า 4.6 ตัน และปล่อยออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) มากกว่า 6.4 ตันต่อวัน
และจากการศึกษาของมูลนิธิบูรณะนิเวศในจังหวัดสมุทรสาครเมื่อปี 2564 พบว่า ภาคอุตสาหกรรมเป็นแหล่งกำเนิดหลักของฝุ่นพิษ PM2.5 เมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งกำเนิดจากภาคการจราจรและขนส่ง การเผาขยะมูลฝอย และการเผาในที่โล่ง โดยพื้นที่วิกฤตที่มีการปลดปล่อยสูงสุดคือ อ.เมืองสมุทรสาคร ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมหนาแน่นและเป็นหนึ่งในปริมณฑลสำคัญของกรุงเทพฯ มูลนิธิฯ ยังได้มีการรวบรวมข้อมูลจำนวนโรงงานในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล โดยอ้างอิงข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรมเมื่อปี 2560 พบว่า มีจำนวนโรงงานอุตสาหกรรม 13,272 แห่งที่เป็นแหล่งก่อมลพิษทางอากาศ
ธารา บัวคำศรี กรีนพีซ ประเทศไทย ยังเปิดเผยอีกว่า “ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ที่ปล่อยจากแหล่งกำเนิดอย่างโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลนั้นมีศักยภาพสูงในการก่อตัวของมลพิษขั้นทุติยภูมิ (secondary pollutants) รวมถึงฝุ่นพิษ PM2.5 ในบรรยากาศของกรุงเทพฯ และปริมณฑล การติดตามตรวจสอบและลดการปล่อยไนโตรเจนไดออกไซด์จึงมีความสำคัญ นอกเหนือจากการที่สาธารณชนต้องเข้าถึงรายงานการวัดการปล่อยก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ที่ปลายปล่องแล้ว มีความจำเป็นเร่งด่วนในการทำให้มาตรฐานการปล่อยไนโตรเจนไดออกไซด์เข้มงวดมากขึ้น”
ด้าน ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ฝ่ายโยธาและจราจร เขียนบนเฟซบุ๊กของตนว่า คิดได้ไง ??? ใช้ “รถไฟฟ้า-รถเมล์” ฟรี 7 วัน สู้ฝุ่นพิษ PM2.5 เป็นความพยายามที่น่าทึ่งของรัฐบาลที่จะสู้กับฝุ่นพิษ PM2.5 ด้วยการให้พี่น้องประชาชนใช้รถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรีทุกสายเป็นเวลา 7 วัน ในช่วงระหว่างวันที่ 25-31 มกราคม 2568 หวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลจะลดลง เป็นผลให้ฝุ่น PM 2.5 ลดลงด้วย แต่มาตรการนี้จะใช้ได้ผล หรือเสียเงินฟรี 140 ล้าน ?
มาตรการให้ใช้รถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี 7 วัน ระหว่างวันที่ 25-31 มกราคม 2568 จะไม่ทำให้ปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลลดลง ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของรัฐบาล แต่จะทำให้รถไฟฟ้าในช่วงเวลาเร่งด่วนซึ่งมีผู้โดยสารแน่นแออัดอยู่แล้วแน่นยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ เงินชดเชยให้เอกชนผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าช่วง 7 วัน ประมาณ 140 ล้านบาท ก็จะไม่เกิดประโยชน์ตามความประสงค์ของรัฐบาล นำเงินดังกล่าวไปใช้ในการควบคุมไม่ให้มีการเผาไหม้จะได้ผลดีกว่า
และเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ เข้าร้องเรียนต่อนางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ขอให้แก้ไขปัญหาฝุ่นละอองและคุณภาพอากาศที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือปัญหา PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทยโดยเร็วที่สุดนั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 17 มกราคม ที่ผ่านมา นายวัชระ เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ตนเองรู้สึกตะลึงเป็นอย่างมาก จากคำชี้แจงของอธิบดีกรมควบคุมมลพิษที่ส่งมาถึงตน มีโรงงานระบายฝุ่นพิษมากกว่า 1,500 โรง โดยกรมฯ ได้ดำเนินแผนควบคุมปัญหาฝุ่น PM 2.5 ทุกวิถีทางแล้ว ถึง 6 มาตรการ กรมโรงงานอุตสาหกรรม มีแผนตรวจโรงงานที่มีการระบายฝุ่น 2,472 โรงงาน ตั้งแต่พฤศจิกายน 2567 ถึง กุมภาพันธ์ 2568 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (1,522 โรงงาน) และพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ (950 โรงงาน)
นายวัชระยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลต้องรับผิดชอบชีวิตของประชาชนมากกว่านี้ ที่น่าตกใจที่สุดคือมีโรงงานปล่อยฝุ่นพิษอยู่ในกรุงเทพและปริมณฑลมากถึง 1,522 แห่ง ทำไมกระทรวงอุตสาหกรรมไม่สั่งปิดโรงงานที่ปล่อยมลพิษทุกแห่ง ในขณะประเทศอื่นเขาสั่งปิดโรงงานทันที
ด้านนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมท่านหนึ่งเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า “ปัญหาของ PM2.5 ลึกๆ แล้วมาจากการคอรัปชั่น เพราะคอรัปชั่นทำให้การตรวจจับควันดำที่มีอยู่เกลื่อนถนนไม่ถูกดำเนินการ ไม่ถูกลงโทษ รวมทั้งโรงงานที่ปล่อยมลพิษ ทำไม่ถูกมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรม ทำไมจึงประกอบกิจการอยู่ได้ แม้จะถูกประชาชนร้องเรียนมากมายเพียงใด แต่เมื่อถึงหน้างาน สุดท้ายก็ไม่ถูกตรวจพบความผิดและปล่อยให้ดำเนินกิจการต่อไปได้
นักวิชาการท่านนี้เปิดเผยว่า ทั้งหมดทั้งมวลนี้ต้นต่อมาจากเงินทอนในภาครัฐ ที่มีมากถึง 30-50% ของงบประมาณเลยทีเดียว ซึ่งสูงถึงมีละประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งหากประเทศไทยจัดการเรื่องคอรัปชั่นได้ จะสามารถนำงบกลับมาจัดการได้หลายมิติ รวมทั้งปัญหา PM 2.5 ด้วย เพราะคอรัปชั่นคือต้นทุนทางเศรษฐกิจที่ฉุดความเจริญก้าวหน้าของประเทศไทยอยู่ในขณะนี้”
ทีมข่าวสืบจากข่าวได้ลงพื้นที่พบว่า จังหวัดชานเมืองกรุงเทพฯ เฉพาะสมุทรปราการจังหวัดเดียว มีโรงงานหลายพันโรงที่มีการปล่อยฝุ่น ควันพิษ เดินเครื่องจักรเฉพาะเวลากลางคืน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจจับได้ง่าย ทำแบบนี้กันมานานหลายสิบปี แต่ทั้งนี้แทบทุกโรงงานมีการจ่ายส่วยสินบนต่อเจ้าหน้าที่รัฐแทบทุกระดับเป็นรายเดือน รายปี เลี้ยงดูปูเสื่อซูเอี๋ย เกี้ยเซียะ กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเมื่อถูกร้องเรียน ก็จะมีเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบกันพอเป็นพิธีให้เป็นข่าวเท่านั้น สุดท้ายก็เรื่องก็เงียบไป
โรงงานที่เดินเครื่องจักมานานปี จะเกิดปัญหาเครื่องหลวมเหมือนรถยนต์ ปล่อยฝุ่นควันพิษออกมาเยอะ ปล่องควันที่กว้างนับเมตร จะปล่อยควันพิษออกมามากมาย การจะซ่อมจะเปลี่ยนเครื่องจักรทำได้ยาก เพราะต้นทุนสูง อาจจะต้องรื้อโครงสร้างของโรงงาน อีกทั้งเครื่องจักรชุดใหม่ก็มีราคาแพง ต้องหยุดการเดินเครื่องจักร นั่นหมายถึงรายได้มหาศาลก็หดหายไปด้วย การใช้วิธีจ่ายเงินเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถูกกว่า ง่ายกว่า แต่ก็ต้องแอบเดินเครื่องยามค่ำคืน เพราะถ้าเดินเครื่องกลางวันการปล่อยควันออกมามากมาย สังคมจะรับรู้ และถูกตรวจสอบ ปกปิดความผิดปกติได้ยาก