ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท., พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย, พ.ต.อ.กฤษฎาพร ปานโปร่ง, พ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์, พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท., พ.ต.อ.ภานุภัท กิตติพันธ์ ผกก.1 บก.ปอท. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.ภัททสักก์ ธนสุกาญจน์, พ.ต.ท.เอกพล แสงอรุณ รอง ผกก.1 บก.ปอท., พ.ต.ท.ปิยเดช แก้วแฝก, พ.ต.ท.อารัติ พายทอง, พ.ต.ท.เอกคณิต เนตรทอง, พ.ต.ท.พรเสกข์ เชาวสันต์, พ.ต.ต.หญิง หทัยชนก อินทรวิจิตร, พ.ต.ต.เริงศักดิ์ อุปลา สว.กก.1 บก.ปอท, ร.ต.อ.ดุสิต ยอดหวิด, ร.ต.อ.ทัศพงษ์ ผ่องใส, ร.ต.อ.กษิดิศ ดิลกคุณานันท์, ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์ ตาแว่น, ร.ต.อ.ปฏิญญา สงวนศักดิ์เกสร,
ร.ต.ท.นันทนคร บุรี รอง สว.กก.1 บก.ปอท. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท.
ร่วมกันจับกุม
- นายรามิลฯ อายุ 31 ปีผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 4557/2567 ลงวันที่ 19 กันยายน 2567 (สน.พญาไท) ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น”สถานที่จับกุม บ้านพัก หมู่ 1 ต.คลองหินปูน อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว
- นายธนาวุฒิฯ อายุ 28 ปีผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.153/2568 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบกันโดยการตกลกกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้ที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน ”
สถานที่จับกุม บ้านพัก ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
พฤติการณ์สืบเนื่องจากตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กก.1 บก.ปอท. ได้รับการร้องทุกข์จากผู้เสียหายว่า มีคนร้ายแต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจวิดีโอคอลมาข่มขู่ผู้เสียหาย โดยแจ้งกับผู้เสียหายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินและคดียาเสพติด พร้อมส่งเอกสารปลอมต่างๆ มาให้ผู้เสียหายดูจนทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวและหลงเชื่อว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง ต่อมาคนร้ายจึงได้หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้ามาตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายรวมเป็นเงินมูลค่ากว่า 4 ล้านบาทต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อจับกุมกลุ่มผู้กระทำความผิด ตามนโยบายเชิงรุกของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ดำเนินการกวาดล้างขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นภัยอาชญากรรมที่ก่อความเสียหายต่อประชาชนและสังคมในวงกว้าง และเน้นย้ำให้มีการเตือนภัยรูปแบบการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมกับเปิดเผยโฉมหน้าของกลุ่ม
คอลเซ็นเตอร์ที่แต่งกายเลียนแบบตำรวจ ข่มขู่ประชาชนให้ได้รับความเสียหาย เผยแพร่เป็นเบาะแสให้กับประชาชนผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย และสื่อต่างๆซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลจากระบบแจ้งความออนไลน์และฐานข้อมูลพบว่า มีผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อในลักษณะเดียวกันนี้มากถึง 163 เคส เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเร่งรัดดำเนินการสืบสวนอย่างต่อเนื่อง
จนภายหลังสามารถระบุตัวคนร้ายที่แต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจวิดีโอคอลมาหลอกลวงผู้เสียหาย จากนั้นจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองรายตามหมายจับดังกล่าว
โดยในวันที่ 30 ม.ค.2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม นายรามิลฯ อายุ31 ปี (ผู้ต้องหาที่ 1) ได้ที่บ้านพักหมู่ 1 ต.คลองหินปูน อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว โดยจากการสอบถามผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ตนเองทำหน้าที่เป็นสาย 1 ในการติดต่อเหยื่อจากระบบ Sim Box ที่มีการเซ็ตระบบไว้โดยตนเองจะได้ข้อมูลของเหยื่อ และจะต้องพูดตามสคริปที่บอสชาวจีน และคนคุมงานซึ่งเป็นคนไทยส่งมาให้ซึ่งเมื่อผู้ต้องหาพูดชักจูงเหยื่อจนเหยื่อเริ่มหลงเชื่อแล้วจากนั้นจะมีการส่งต่อไปให้กับสาย 2 เพื่อดำเนินการ
ต่อมาในวันที่ 2 ก.พ.2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสามารถจับกุม นายธนาวุฒิฯ (ผู้ต้องหาที่ 2) ได้ที่บ้านพัก ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรีโดยจากการสอบถามผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ โดยให้การว่าตนเองเป็นผู้ร่วมขบวนการของเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งทำหน้าที่แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจวิดีโอคอลเพื่อหลอกลวงเหยื่อจริง
นอกจากนี้ผู้ต้องหายังยอมรับอีกว่า ตนเองได้แต่งตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและวิดีโอคอลไปหลอกลวงผู้เสียหายอีกหลายราย รวมไปถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ทั้งนี้ผู้ต้องหาให้การว่า ในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตนเองจะมีหน้าที่วิดีโอคอลเพื่อหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อ และทำหน้าที่ควบคุมเหยื่อผ่านการวิดีโอคอลในระหว่างการหลอกลวง โดยเมื่อ
เหยื่อหลงเชื่อแล้วจะมีคนร้ายที่เรียกว่าสาย 3 ทำหน้าที่ปิดดีล หลอกให้เหยื่อโอนเงินให้ ซึ่งในระหว่างการหลอกลวงจะมีทั้งคนไทยและคนจีนทำหน้าที่เป็นคนควบคุม และคิดสคริปต์ในการหลอกลวงเหยื่อเพื่อให้เป็นไปตามบทที่วางไว้โดยหากตนไม่ปฏิบัติตาม หรือต่อต้านจะถูกทำร้ายร่างกาย และหากตนสามารถหลอกจนเหยื่อหลงเชื่อและโอนเงินมาให้ได้ตนจะได้รับส่วนแบ่งจากมูลค่าที่หลอกลวงเหยื่อ
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวผู้ต้องหารายที่ 1 นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ส่วนผู้ต้องหารายที่ 2 นำส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอเตือนภัยประชาชน ขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง จะไม่ทำ
3 สิ่ง ดังนี้
1.จะไม่มีการติดต่อทางไลน์ หรือวิดีโอคอล เพื่อสอบปากคำ หรือแจ้งข้อกล่าวหา
2.ไม่มีการให้ผู้เสียหายโอนเงิน หรือทรัพย์สิน มาตรวจสอบเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์
3.ไม่มีการส่งเอกสารราชการทางไลน์ เช่น หมายเรียก หมายจับ
โดยหากประชาชนพบเจอการหลอกลวงรูปแบบต่างๆในลักษณะข้างต้น ที่มีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจให้บันทึกภาพหน้าจอ หรือ อัดวิดีโอ ขณะสนทนา ส่งแจ้งเป็นเบาะแส ได้ทางเฟซบุ๊ก ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เพื่อนำไปสู่การสืบสวน และจับกุมกลุ่มขบวนการนี้ต่อไปตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอประชาสัมพันธ์ว่า ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) มีการจัดทำบัญชีเพจเฟซบุ๊ก 1 บัญชีชื่อ “ตำรวจสอบสวนกลาง“ และมีสัญลักษณ์บลูติ๊ก (Blue tick) และมีไลน์ขึ้นมาเพียง 1 บัญชีชื่อ “tcsdcenter” โดยจะสามารถเพิ่มเพื่อนผ่านไอดีไลน์ชื่อ “tcsdcenter.staff” เท่านั้น โดยบัญชีไลน์ดังกล่าวมีจุดประสงค์สำหรับติดต่อกับประชาชนในกรณี“ขอข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เสียหายเกี่ยวกับข้อมูลลิงก์บัญชีปลอม หรือ url” จากคดีซึ่งเคยมีการแจ้งความไว้แล้ว เพื่อทำการปิดกั้นลิงก์ออกจากระบบ ทำให้มิจฉาชีพไม่สามารถใช้บัญชีหรือ ลิงก์url ในการหลอกลวงผู้เสียหายคนอื่นได้อีก
ซึ่งหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเจ้าหน้าที่จะทำการติดต่อกลับโดยใช้หมายเลข 025139197 และ 0658270902 เท่านั้น