ควันหลงจากกรณี “พิรงรอง เอฟเฟค” ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีคำพิพากษาให้จำคุก “ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต” กสทช.ด้านกิจการโทรทัศน์เป็นเวลา 2 ปีโดยไม่รอลงอาญาด้วยเหตุใช้อำนาจโดยมิชอบตามมาตรา 157 จากความพยายามทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาคุ้มครองผู้บริโภค

จากความพยายามของกสทช.ในการสั่งให้ผู้ประกอบการดิจิทัลทีวีที่รับใบอนุญาตต้องปฏิบัติตามประกาศหลักเกณฑ์การแพร่ภาพรายการหรือ”มัสต์แคร์รี่”ที่ห้ามมีโฆษณาแทรกตามประกาศ กสทช.อย่างเคร่งครัด
แต่การออกหนังสือเตือนดังกล่าวถูกลากไปขึ้นเขียงด้วยข้ออ้างว่ามีการใช้อำนาจโน้มน้าว สั่งการแก้ไขมติที่ประชุมเพื่อกลั่นแกล้งธุรกิจของเอกชนรายหนึ่งที่ป็นผู้ให้บริการ OTT ที่กสทช.ยังไม่มีหลักเกณฑ์กำกับดูแลที่ชัดเจน ทำให้บริษัทเอกชนได้ความเสียหาย จึงนำคดีขึ้นฟ้องศาล ก่อนจะมีคำพิพากษาให้จำคุก กสทช.พิรงรองในที่สุด
แต่คำพิพากษาข้างต้น กลับกลายเป็น “บูมเมอแรง” ที่สั่นสะเทือนสถาบันตุลาการ จนถึงกับที่สภาองค์กรเพื่อผู้บริโภค และคณาจารย์ นักวิชาการหลากสำนักไม่เพียงจะเปิดเวทีขยี้คำพิพากษาครั้งประวัติศาสตร์กันอย่างถึงพริกถึงขิง จุดกระแส “Save พิรงรอง” กระหึ่มเมือง!
ล่าสุดสภาองค์กรผู้บริโภคยังเปิดเวทีสัพยอกบทบาทของกสทช.ภายใต้หัวข้อเสวนา “ควบรวมโทรคมนาคม: ผลประโยชน์หรือภาระของผู้บริโภค?” โดยมีข้อสรุปที่ชี้ไปทิศทางเดียวกันว่า ตลาดโทรคมนาคมไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ หลังการควบรวม “ทรู-ดีแทค” และ “AIS-3BB” ซึ่งถูกโฆษณาว่าจะช่วยลดค่าบริการและยกระดับคุณภาพเครือข่าย
แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับตรงกันข้าม ค่าบริการที่ผู้บริโภคผู้ใช้บริการได้รับกลับสูง คุณภาพยังเป็นปัญหา แพ็กเกจราคาถูกเริ่มหายไปจากตลาดท่ามกลางเสียงวิจารณ์ถึงบทบาทของ กสทช. ที่ยังไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
กรณี “พิรงรอง” ยังถูกโยงเพื่อตอกย้ำให้เห็นว่าบทบาทของ กสทช. ชุดปัจจุบันเป็นเพียง “ร่างทรง” กลุ่มทุนสื่อสารหรือกลุ่มทุนการเมืองที่ฝังรากลึกตักตวงผลประโยชน์อยู่ในองค์กรนี้และพยายามชี้ให้สังคมเห็นว่า เบื้องหลังคำพิพากษาคดีพิรงรองที่ว่านั้นเป็นเพียง “สงครามตัวแทน” ที่มีไอ้โม่ง-มือที่มองไม่เห็น “ชักใย” อยู่ข้างหลัง
กรณีการฟ้องร้องคดีในองค์กร กสทช.นั้น ใช่จะมีเพียงคดีสองคดี แต่มีคดีที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องการปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะเดียวกันเป็นสิบคดี แม้แต่ตัวประธาน กสทช.อย่าง “หมอไห่-ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์” ก็ยังหนีวังวนนี้ไปไม่พ้นถูกร้องสอบและถูกฟ้องไม่รู้กี่สิบคดีแล้ว

ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันหนาหูก็คือ กรณีการตรวจสอบคุณสมบัติของประธาน กสทช.ที่คณะกรรมาธิการเทคโนโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร หรือ กมธ.ไอซีที วุฒิสภาที่ “ล้วงลูก” เข้ามาตรวจสอบกรณีนี้ตั้งแต่ปีมะโว้ โดยมีผลสรุปที่อ้างว่า “หมอไห่” มีคุณสมบัติขัดแย้งไม่เป็นไปตาม พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ พ.ศ.2553 และที่แก้ไขปี 2562 (พ.ร.บ.กสทช.)ทำให้ขาดจากการเป็นประธาน กสทช.ไปแล้ว!
ดูเหมือนกรณีนี้จะถูกขุดและหยิบยกขึ้นมาถล่มโจมตีประธาน กสทช.ทุกครั้งเมื่อมีการพูดถึงบทบาทการทำหน้าที่ของประธานกสทช.ในการดำเนินการเรื่องใดๆ ก็ตาม ทั้งที่จะว่าไปที่มาของการร้องให้ตรวจสอบคุณสมบัติของประธาน กสทช.ข้างต้นที่มาจากข้อร้องเรียนของอดีตผู้บริหารระดับสูงใน กสทช.นั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังคงมีปมปัญหาในเรื่องอำนาจในการดำเนินการของ กมธ.เองว่า “ทำได้หรือไม่” รวมทั้งเรื่องของ “วาระซ่อนเร้น” ของผู้ร้องเรียนเองที่ถือว่าเป็นคู่ขัดแย้งจากการที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งหรือปูนบำเหน็จจากประธาน กสทช.ให้ขึ้นทำหน้าที่รักษาการเลขาธิการ กสทช.ก่อนหน้า
อย่างไรก็ตามกรณีตรวจสอบคุณสมบัติของประธาน กสทช.ของ กมธ.ไอซีทีข้างต้นมีอำนาจหรือไม่ ขั้นตอนการตรวจสอบชอบด้วย กฏหมายหรือไม่ หรือ เหตุใดไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องของหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบโดยตรง อย่างคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการเอง

แต่เมื่อ กมธ.ไอซีทีไม่ได้มีการขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีการส่งเรื่องต่อผู้มีอำนาจโดยตรงคือนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ใช้อำนาจในการนำความขึ้นกราบบังคมทูลโปรดเกล้าฯ ให้พ้นตำแหน่ง (หรืออาจมีการนำเสนอเรื่องขึ้นไปยังนายกฯ แล้ว แต่นายกฯ ไม่เห็นด้วย หรือเพิกเฉยไม่ขับเคลื่อนใดๆ ต่อ) ก็ต้องถือว่ากรณีร้องเรียนดังกล่าวยุติลงไปโดยปริยายหรือไม่ เพราะ กมธ.ไอซีทีชุดใหม่ในปัจจุบันก็ไม่มีการ “ปัดฝุ่น” เรื่องขึ้นมาดำเนินการ หรือขับเคลื่อนใดๆ เช่นกัน
ส่วนกรณีที่ กสทช.ถูกสัพยอกว่าเป็นแค่ “ร่างทรง” ของกลุ่มทุนสื่อสาร กลุ่มทุนการเมือง หรือของใครต่อใครส่งเข้าประกวด จนมีการเปรียบเปรยการทำหน้าที่ของ กสทช.แต่ละคนว่าเป็นแค่ “ร่างทรง” ใครต่อใคร และต้องทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์พวกพ้อง หรือของกลุ่มทุนที่อยู่เบื้องหลัง มากกว่าจะทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาผลประโยชน์สาธารณะนั้น จะว่าไปปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างน้อยก็ทำให้องค์กรนี้เกิดการ “ตรวจสอบและถ่วงดุล” กันเองไม่ใช่หรือ ?
เห็นได้ชัดจากการที่ที่ประชุม กสทช.กว่าจะผ่านเรื่องใดออกมา ล้วนต้องมีการถกเถียงและกลั่นกรองงานและโครงการต่างๆอย่างถึงพริกถึงขิง เพื่อให้แน่ใจหรือมั่นใจว่าเรื่องที่ออกมานั้นไม่ไปเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนใด ๆ แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะหรือผู้ใช้บริการที่แท้ทรูเท่านั้น
การตรวจสอบและถ่วงดุลภายในองค์กร กสทช.ดังกล่าวจึงทำให้กว่าที่ กสทช.แต่ละคนจะผลักดันเรื่องใดๆ ออกมา ด้วยคาดหวัง จะสนองตอบต่อกลุ่มทุนสื่อสาร หรือทุนการเมืองของตนเองนั้น เป็นไปได้ยาก หากไม่ใช่เรื่องที่เป็นประโยชน์หรือยังประโยชน์ต่อสาธารณะที่แท้ทรูแล้ว ยากจะผ่านที่ประชุมบอร์ด กสทช.ออกมาได้
มันจึงเป็น “จุดแข็งโป๊ก” ของหน่วยงานรัฐที่เป็นอิสระแห่งนี้ ที่สะท้อนให้เห็นว่า ได้ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง ผิดกับบางองค์กรหรือบางหน่วยงานที่แม้ได้ชื่อว่าเป็นสถาบันตัวแทนประชาชน แต่ทำอะไรกลับเป็นไปตาม “ใบสั่ง” ของผู้มากบารมีบ้านนั้น บ้านนี้หรือ “ใบสั่งนายใหญ่” ไม่ใช่หรือ!!!