เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 นายเจษฎา (สงวนนามสกุล) อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังวัย 22 ปี ผู้มีผู้ติดตามกว่า 4 แสนคนบนแพลตฟอร์ม TikTok พร้อมด้วยนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ได้นำเอกสารหลักฐานเข้าร้องขอความช่วยเหลือจากผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ผ่านพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปราม (พงส.กก.3 บก.ป.) หลังเชื่อว่าถูก “คุณนายอ้อน” และพวก ร่วมกันเป็นขบวนการหลอกให้เปิดบัญชีและชักชวนผู้อื่นมาเปิดบัญชีเพิ่ม โดยคุณนายอ้อนได้แอบอ้างตนเองว่าเป็นภรรยาตำรวจระดับสารวัตร แต่ภายหลังการตรวจสอบของตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี พบว่าเป็นภรรยาของทหารยศประทวนนายหนึ่ง
นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความชื่อดัง เปิดเผยว่า วันนี้ได้พานายเจษฎา อินฟลูเอนเซอร์ผู้มีชื่อเสียงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มาร้องเรียนกรณีถูกขบวนการเปิดบัญชีม้า โดยมีผู้หญิงชื่อ “คุณนายอ้อน” เป็นตัวการ ซึ่งจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดอุบลราชธานี พบว่าคุณนายอ้อนเป็นภรรยาของทหารนายหนึ่งในจังหวัดปราจีนบุรี ขบวนการนี้มีเป้าหมายหลักคือนักศึกษาที่กำลังมองหางานและกำลังเดือดร้อนเรื่องเงิน โดยจะหลอกให้เปิดบริษัทนิติบุคคล ซึ่งเป็น “บริษัทม้า” เพื่อให้ง่ายต่อการโอนเงินและทำธุรกรรมต่าง ๆ และยังหลอกให้เด็ก ๆ เปิดบัญชีธนาคารพร้อมมอบซิมโทรศัพท์มือถือให้ หากเหยื่อไม่ยอมคืน ก็จะถูกแจ้งความว่าลักขโมยโทรศัพท์มือถือ
นายเจษฎา เปิดเผยว่า หลังจากเข้าร้องเรียนกับมูลนิธิฯ และเรื่องราวถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ ก็มีหน่วยงานราชการหลายแห่งติดต่อกลับมา บางรายอ้างว่าเป็นฝ่ายสืบสวนจังหวัดอุบลราชธานี บางรายอ้างว่าเป็นภรรยาผู้การฯ นอกจากนี้ยังมีผู้บังคับบัญชาในค่ายทหารที่จังหวัดปราจีนบุรีโทรศัพท์มาสอบถาม บางคนต้องการทราบรายละเอียดและนัดพบเป็นการส่วนตัว ซึ่งนายเจษฎาปฏิเสธไป โดยขอให้ติดต่อผ่านทนายรณณรงค์แทน
“ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหารหรือตำรวจที่ติดต่อมา ผมรู้สึกเกรงกลัว ไม่รู้ว่าจะเป็นตำรวจจริงหรือไม่ และทำไมถึงต้องมาพบผมแบบส่วนตัว เช่น คนที่อ้างเป็นตำรวจ จ.อุบลฯ บอกว่า ‘น้องเตอร์ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าน้องสะดวกก็เข้ามาพบได้เลย แต่ขอนัดเป็นการส่วนตัวนะ ร้านกาแฟที่ไหนก็ได้ คุยกันเงียบ ๆ’ ” นายเจษฎาเล่าด้วยความกังวล และยังเปิดเผยว่ามีบางรายถึงขนาดไปสอบถามหาตนถึงที่บ้าน เพื่อให้ไปให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่โรงพัก ทำให้ป้าและยายที่อยู่บ้านสองคนรู้สึกตกใจมาก และโทรศัพท์มาบอกตนทันที
ส่วนผู้บังคับบัญชาของค่ายทหารที่ปราจีนบุรีที่โทรมา ระบุว่าคุณนายอ้อนเป็นภรรยาของทหารในค่ายเขาจริง แต่ยืนยันว่าสามีไม่เกี่ยวข้อง และหากตรวจสอบพบว่ามีความผิดก็ยินดีที่จะส่งตัวให้กับตำรวจไปดำเนินคดี ไม่เข้าข้างลูกน้อง ขณะที่บุคคลที่อ้างว่าเป็นภรรยาผู้การจังหวัดอุบลฯ ติดต่อมาเพื่อต้องการข้อมูลของคุณนายอ้อน โดยคุณนายอ้อนได้ประกาศหลังจากที่ตนมาร้องเรียนมูลนิธิฯ ว่าจะไปแจ้งความเอาผิดตนที่กล่าวหาเขาโดยไม่เป็นความจริง และปฏิเสธว่าบัญชีม้าไม่มีอยู่จริง
นางชฎาภรณ์ พงศ์ทองเมือง ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์ฯ กล่าวว่า ทางมูลนิธิฯ ได้รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดมอบให้ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องในขบวนการนี้ ส่วนกรณีนายเจษฎา หากพบว่ามีความผิดก็ยินดีให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย
นายเจษฎา เล่าเหตุการณ์ย้อนไปเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ว่าได้พบกับ “คุณนายอ้อน” หญิงวัยประมาณ 38 ปี ที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี คุณนายอ้อนอ้างตัวเป็นภรรยาตำรวจระดับสารวัตรและเป็นแฟนคลับของตนเอง จึงได้ขอแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกัน หลังจากนั้น คุณนายอ้อนได้ชักชวนตนไปร่วมรับประทานอาหารกับสมาคมแม่บ้านตำรวจจังหวัดอุบลราชธานี และพยายามชวนตนไปสอบเป็นตัวแทนขายประกัน แต่ตนสอบไม่ผ่าน
ต่อมา คุณนายอ้อนได้โทรศัพท์มาชักชวนให้ตนและหาคนอื่นมาเปิดบัญชี โดยอ้างว่าจะนำบัญชีเหล่านี้ไปใช้ในธุรกิจที่มีเงินหมุนเวียนกว่า 500 ล้านบาท เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี นายเจษฎาได้สอบถามว่าเป็นบัญชีม้าหรือไม่ แต่คุณนายอ้อนยืนยันว่าไม่ใช่ เป็นเพียงเทคนิคที่นักธุรกิจนิยมใช้กัน แม้ในตอนแรกนายเจษฎาจะปฏิเสธ แต่คุณนายอ้อนก็ตื้อไม่เลิกจนใจอ่อนยอมตกลง
นายเจษฎาเล่าถึงขั้นตอนการเปิดบัญชีว่า ตนต้องส่งบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านให้คุณนายอ้อน และถูกชักชวนให้หาคนมาเปิดบัญชีเพิ่ม โดยจะได้รับค่าตอบแทนจากการหาคนได้คนละ 8,000 บาท ส่วนบัญชีม้าที่หามาได้จะได้รับค่าตอบแทน 35,000 บาท พร้อมเงินเดือนเดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 6 เดือน นายเจษฎาหาคนมาได้ทั้งหมด 23 คน โดยแต่ละคนจะต้องจดทะเบียนเป็นกรรมการบริษัท 2 บริษัท และเปิดบัญชี 4 ธนาคาร คุณนายอ้อนจะกำชับผู้ที่จะไปเปิดบัญชีให้บอกกับธนาคารว่าถือหุ้น 99% หากธนาคารไม่ยอมเปิดให้ คุณนายอ้อนจะต่อว่าพนักงานธนาคาร และหากใครต้องการถอนตัวก็ต้องจ่ายเงิน 200,000 บาท หรือต้องหาคนมาเปิดบัญชีแทน
ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ คุณนายอ้อนยังได้สอน “ตำราหนีตำรวจ” หากถูกจับกุม ให้แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง พยายามถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด และจะมีตำรวจเข้ามาช่วยเหลือ แต่ถ้าหากไม่สามารถช่วยเหลือได้และถูกจับกุมจริง ๆ คุณนายอ้อนยังการันตีว่าครอบครัวจะอยู่สบายไปตลอดชีวิต
นอกจากนี้ นายเจษฎายังเล่าว่า คุณนายอ้อนมักจะนำรถยนต์เข้ามาบ่อยครั้งแล้วส่งต่อไปยังบริเวณชายแดน มีอยู่ครั้งหนึ่ง รถที่คุณนายอ้อนขับมาถูกตำรวจเรียกตรวจสอบ และพบว่าเป็นรถที่นำเข้าผิดกฎหมาย แต่คุณนายอ้อนก็ต่อว่าตำรวจและโทรศัพท์ให้คนมาช่วยเคลียร์จนรอดไปได้
นายเจษฎาเริ่มรู้สึกเอะใจจากพฤติกรรมของคุณนายอ้อนที่ต้องคุยโทรศัพท์ตลอดเวลา และลักษณะการสนทนาเกี่ยวกับการเปิดบัญชี หากทำไม่ได้ก็จะส่งคนมาเคลียร์ ทำให้ตนเริ่มตีตัวออกห่าง คุณนายอ้อนจึงเริ่มข่มขู่ โดยมีการส่งรูปตำรวจไซเบอร์พร้อมอ้างว่าเป็นน้องเขย และส่งรูปที่ถ่ายคู่กับ “แม่ทัพภาคที่ 2” มาขู่พร้อมอ้างว่ามีความสนิทสนมกัน นอกจากนี้ยังมีการแอบอ้างถึงเบื้องสูง และมีรถตำรวจนำทางเวลาไปทำบุญหรือออกไปไหน ที่ร้ายแรงที่สุดคือการข่มขู่ไปถึงครอบครัวของตน
“วันนี้ที่ผมออกมาแฉ เพราะรู้สึกผิด อยากจะขอโทษสังคม ถ้าหากผมต้องถูกดำเนินคดีผมก็พร้อม ตอนนี้อยากขอปกป้องครอบครัวและตัวเอง เพราะคุณนายอ้อนมีการบอกผ่านคนสนิทของผมมาว่าอย่าชะล่าใจ สักวันเดี๋ยวโดนเก็บ” นายเจษฎากล่าวด้วยความกังวล จึงตัดสินใจนำเรื่องมาร้องเรียนกับทางมูลนิธิฯ เพื่อขอความช่วยเหลือ
ตำรวจอุบลฯ ยัน “คุณนายอ้อน” ไม่ใช่ภรรยาสารวัตร แต่เป็นเมียทหารยศจ่าสิบเอก เคยมีคดีฉ้อโกง
พันตำรวจเอก ชาญชัย อินนรา ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี ได้ออกมาเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารตามที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2568 กรณีอินฟลูเอนเซอร์ดังยื่นเรื่องต่อมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ให้ตรวจสอบขบวนการเปิดบัญชีม้าที่มีภรรยาข้าราชการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี (ระบุชื่อคุณนายอ้อน) เป็นผู้เกี่ยวข้องนั้น
กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานีได้ตรวจสอบแล้ว พบว่า “คุณนายอ้อน” ไม่ได้เป็นภรรยาของตำรวจระดับสารวัตรในสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี แต่อย่างใด เป็นเพียงการกล่าวอ้างขึ้นมาเพื่อหวังผลประโยชน์ของตนเอง จากการสืบสวนเพิ่มเติมยังพบว่า คุณนายอ้อนมีภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ และเป็นภรรยาของทหารยศจ่าสิบเอก สังกัดค่ายจักรพงษ์ จังหวัดปราจีนบุรี นอกจากนี้ ยังพบว่า คุณนายอ้อนเคยมีคดีฉ้อโกงเมื่อปี 2565 ที่สถานีตำรวจบางนา
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงภัยร้ายของขบวนการบัญชีม้าที่มักจะหาช่องทางหลอกลวงประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและผู้ที่กำลังเดือดร้อนเรื่องเงิน รวมถึงการแอบอ้างบุคคลหรือหน่วยงานราชการเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จึงขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังและตรวจสอบข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะตกเป็นเหยื่อในลักษณะนี้












