เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 15 ก.ค.68 ที่ ด้านหน้าแดนเนรมิตเก่า ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กทม.
ดร.เกรียงศักดิ์ พินทุสรศรี “ทนายความผู้ผดุงความยุติธรรม“ได้นำผู้เสียหายรายหนึ่งเข้ายื่นเรื่องร้องทุกข์และขอความเป็นธรรมต่อพนักงานสอบสวน บก.ป. กรณีถูกนาย”ต. “กับพวก หลอกลวงทรัพย์สินไปเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท โดยอ้างตัวเป็นผู้พิพากษาและสามารถวิ่งเต้นคดีได้
ดร.เกรียงศักดิ์ เปิดเผยว่า ผู้เสียหายรายนี้ถูกนาย ต.และพวกหลอกลวงว่า เป็นผู้พิพากษาและรู้จักกับรองประธานศาลฎีกา สามารถวิ่งเต้นคดีในศาลฎีกาได้ ซึ่งผู้เสียหายมีน้องชายต้องโทษในคดียาเสพติด จึงตกลงให้นาย ต.ดำเนินการเขียนฎีกาให้
ต่อมา นาย ต.ยังได้หลอกลวงผู้เสียหายอีกว่า ทีมทนายความชุดเดิมที่ทำคดีก่อนหน้านี้ให้ผู้เสียหายร่วมมือกับทนายฝ่ายตรงข้าม จงใจทำให้คดีแพ้ ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงตัดสินใจถอนทนายความชุดเดิมออก และตกลงให้นาย ต.กับทีมทนายความของเขาทำคำให้การต่อสู้คดีแทน
โดยนาย ต.และทีมทนายได้บอกผู้เสียหายว่า “ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องไปศาล” และจะดำเนินการให้ทั้งหมด
แต่ปรากฏว่าคดีดังกล่าวกลับถูกศาลพิพากษาให้แพ้คดี เนื่องจากทนายขาดนัดยื่นคำให้การ
นอกจากนี้ ในอีกคดีหนึ่งที่ผู้เสียหายถูกฟ้อง นาย ต.ยังได้หลอกลวงอีกว่า หากต้องการชนะคดีจะต้องดำเนินการเกี่ยวกับการพิสูจน์ลายมือชื่อ แต่ความจริงแล้วกลับไม่มีการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อแต่อย่างใด
พฤติการณ์ของนาย ต. และพวกยังมีการแอบอ้างเบื้องสูง และแอบอ้างว่าเป็นบุคคลในเครื่องแบบ จนทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงินไปให้ รวมแล้วกว่า 8 ล้านบาท
ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติม ผู้เสียหายจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามในวันนี้ เนื่องจากสืบทราบประวัติพบว่า นาย ต. กับพวกเป็นขบวนการต้มตุ๋น และเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงมาแล้วหลายคดี เช่น คดีวิ่งเต้นเข้าโรงเรียนนายร้อย ที่เป็นข่าวครึกโครมเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งถือเป็นภัยต่อสังคมอย่างยิ่ง
ผู้เสียหายจึงต้องการให้ตำรวจกองปราบปรามขยายผลไปถึงผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดว่ามีจำนวนกี่คน ใครเกี่ยวข้องบ้าง และมีนักกฎหมายที่ร่วมขบวนการกี่คนและใครบ้าง เพื่อติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดมาลงโทษ ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และเพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้อื่นตกเป็นเหยื่อในลักษณะเดียวกันอีก
“คนเราควรกล้าในสิ่งที่ควรกล้า คนเราควรกลัวในสิ่งที่ควรกลัว” ดร.เกรียงศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย
