ศาลฎีกา วันนี้ ( 18 ก.ค.) ศาลนัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 5
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการสืบพยานคดี บังคับโทษ อดีตนายกรัฐมนตรีนัดที่ 5 ว่า วันนี้จะสืบพยานแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจคือแพทย์ใหญ่คนปัจจุบันและแพทย์ใหญ่ในอดีต และทีมแพทย์รักษา นายทักษิณ รวม 6 คน ซึ่งการไต่สวนในวันนี้น่าจะใช้เวลาพอสมควร ซึ่งจะมีรายละเอียดที่ศาลให้ความสนใจ อยากทราบ นอกจากนี้ยังมีเอกสารที่เกี่ยวข้อง กับเวชระเบียน หรือ บันทึกการรักษา รวมถึงประวัติการรักษาตัวที่ต่างประเทศของนายทักษิณ ซึ่งทั้งหมดต้องเป็นการนำข้อเท็จจริงขึ้นสู่ศาล ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ และ ตนได้ตั้งคำถามไว้ล่วงหน้า แต่ก็ต้องดูว่าศาลจะอนุญาตหรือไม่ โดยเป็นดุลยพินิจของศาล
โดยก่อนเข้าห้องพิจารณา นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ได้นำใบเสร็จการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 มาแสดงต่อสื่อมวลชน ซึ่งเป็นใบเสร็จการรักษาตัวของนายทักษิณ ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย.66 ถึง 19 ก.พ.67 รวม 26 รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น 2,475,276 บาท ซึ่งผู้บังคับบัญชาของตำรวจได้สั่งให้โรงพยาบาลตำรวจรายงานว่า กรณีนายทักษิณ เข้าพักรักษาตัวใช้สิทธิประเภทใด ค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ต้องขังเป็นจำนวนเงินเท่าใด ผู้ใดเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งขอเอกสารการใช้สิทธิที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายทั้งหมด
นายชาญชัย กล่าวว่า นายทักษิณย้ายจากราชทัณฑ์ไปโรงพยาบาลตำรวจในวันที่ 23 ส.ค.66 แต่มีการเก็บเงินในวันที่ 4 ก.ย.66 เป็นครั้งแรก ซึ่งมีการเก็บค่าสารอาหารทางเส้นเลือด 150 บาท นอกนั้นจะเป็นค่าตรวจวินิจฉัยและค่าบริการทางพยาบาล และค่าห้องราว 140,000 บาท ไม่มีค่ายา แต่กลับอ้างว่าป่วยวิกฤติ
นายชาญชัย ยืนยันว่าใบเสร็จนี้ไม่ใช่เวชระเบียน เป็นสิ่งที่เปิดเผยได้ ตนเองท้าให้มาตรวจสอบ เพราะใบเสร็จนี้เป็นของจริง ซึ่งหากดูตามใบเสร็จจะพบว่าไม่มีอาการของโรคที่จะต้องรักษาด้วยยาเลย หากดูในใบเสร็จในวันที่ 19 ก.พ.67 จะพบว่ามีค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ในการบำบัดรักษาโรค 11,461 บาท ค่าเวชภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยา 47,324 บาท ค่าห้องและค่าอาหาร 57,350 บาท ซึ่งหลังจากนั้น 7 วันก็ออกไปเดินฉุยๆ ได้แล้ว
“ใครไปบังคับให้นายทักษิณให้นอนโรงพยาบาลถึง 181 วัน ถ้านายทักษิณไม่สั่งพวกนี้ทำ” นายชาญชัย กล่าว
นายชาญชัย กล่าวว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การใช้กฎหมายพิเศษ แต่เป็นเรื่องการพิจารณาโทษว่ามีการบังคับโทษตามคำพิพากษาของศาลหรือไม่ หากมีการละเมิดอำนาจศาล ศาลก็ต้องหาข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนกระบวนความเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องที่จะไปกลั่นแกล้งใคร เป็นเรื่องกระบวนการตามกฎหมาย ศาลก็ใช้วิธีการไต่สวนโดยเปิดเผย
ส่วนเอกสารและใบเสร็จเหล่านี้ ตนเองได้มาโดยชอบและกฎหมาย และข้อมูลทั้งหมดจะส่งให้ศาลอีกครั้งในวันที่ 25 ก.ค.นี้ เพื่อจะใช้มัดนายทักษิณว่าสั่งการอะไรที่เกี่ยวข้องกับการไม่จำคุกตามคำพิพากษา ขออย่าไปโทษคนอื่น เหล่าบริวาร ข้าราชการ แพทย์ ถูกกลั่นแกล้ง นายทักษิณเป็นคนฆ่าเขาทั้งเป็น ไม่มีใครไปบังคับให้ไปทำเรื่องนี้ นายทักษิณเป็นตัวการ ตนเองมองว่าความวิบัติจะเกิดขึ้นกับนายทักษิณ 4 เรื่อง โดยหลังจากฟังคำให้การแล้วจะออกมาสรุปให้ฟังอีกครั้ง ว่ามีเรื่องอะไรที่โกหกศาลอีกหรือไม่
“ถ้าเขาไม่พอใจก็มาฟ้องผมเอา ผมพร้อมที่จะขึ้นศาลกับเขาอีกรอบ และผมจะกระชากลากเอกสารที่เป็นเรื่องลับออกมาอีกรอบ เอาให้มันกระจุยไปเลย แน่จริงมาเลยไม่เป็นไร แต่ขอให้ความจริงปรากฏต่อศาล บ้านเมืองจะได้สงบ ผมไม่ได้มาทำเพื่อการเมือง เพราะผมไม่ได้เล่นการเมืองแล้ว ผมทำในฐานะประชาชน ผมกำลังปรับความรู้ให้ประชาชนรู้ว่า ความถูกต้องของบ้านเมืองต้องยืนในจุดไหน และนักการเมืองชั่วที่ท้าบ้านท้าเมือง ไม่ควรเอามายุ่งกับบ้านเมือง ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายมาก” นายชาญชัยกล่าว
นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวก่อนเข้าร่วมฟังการไต่สวนคดีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่พักรักษาตัวบนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
นพ.ตุลย์ กล่าวว่า นี่เป็นครั้งที่ 5 ที่ศาลนัดไต่สวน ตนขอพูดสั้นๆ ว่าคนที่วิกฤตกว่านายทักษิณคือพยาน ที่ให้การไม่ตรงความจริง ใครที่ให้การเท็จไว้หรือมีการลงมติและอนุมัติไม่ตรงความจริง ความก็จะปรากฎในที่สุด ซึ่งแม้แต่พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เป็นผู้อนุมัติการพักโทษก็ปรากฎแล้วว่านายทักษิณไม่มีสภาพทรุดโทรม ตามคะแนนกรมอนามัยของผู้สูงอายุจริง
“ใครที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. 66 จนถึง 18 ก.พ. 67 ถ้าเกิดให้การไว้ไม่ตรงข้อเท็จจริงกับศาล และอนุมัติอะไรไว้ไม่ถูกต้อง น่าจะต้องถูกลงโทษถึงที่สุด” นพ.ตุลย์กล่าว
ส่วนกรณีที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ จะนำเอกสารมาเปิดนั้น นพ.ตุลย์ กล่าวว่า นายชาญชัยจะเป็นคนมาบอกอีกครั้ง แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเข้าโรงพยาบาลของนายทักษิณ เพราะพยานให้การไว้อีกอย่างหนึ่ง เพราะตลอดการไต่สวน 4 ครั้งที่ผ่านมา พบว่ามีการให้การไม่ตรงกับข้อเท็จจริงทางการแพทย์และให้การไม่ตรงกัน
สำหรับการไต่สวนในช่วงเช้าวันนี้ ศาลได้ไต่สวนพยานจำนวน 3 ปาก เป็นอดีตแพทย์ใหญ่ของโรงพยาบาลตำรวจ แพทย์ใหญ่ของโรงพยาบาลตำรวจคนปัจจุบัน และแพทย์ผู้ทำการรักษานายทักษิณที่เข้าเวรช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 23 ส.ค. 2566
ส่วนพยานที่เป็นแพทย์ใหญ่และอดีตแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจเบิกความว่าห้องพักชั้น 14 มีผู้ป่วยมาพักก่อนหน้าอยู่แล้ว เพราะเป็นช่วงที่โรงพยาบาลทำการกักตัวผู้ป่วยโควิด ทำให้ต้องใช้ห้องพักผู้ป่วยทุกห้อง
โดยพยานรายที่ 3 ที่เป็นแพทย์ผู้ทำการรักษาเบิกความถึงอาการในช่วงเข้ารับการรักษาของนายทักษิณ โดยพยานได้มีการโทรปรึกษาเกี่ยวกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคทางหัวใจด้วย โดยระหว่างการรักษาตัว นายทักษิณมีอาการป่วยด้วยโรคอื่น แพทย์แนะนำให้ผ่าตัด แต่นายทักษิณปฏิเสธการผ่าตัด ทั้งนี้ แพทย์ยืนยันว่า ให้การรักษาตามจรรยาบรรณของแพทย์ ไม่รู้เกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับการส่งตัวหรือการส่งกลับผู้ป่วยที่มาจากเรือนจำ พยานรายที่ 3 ยังเบิกความอีกว่าพอรักษาไปสักพัก ถ้าเป็นความเห็นส่วนตัวสามารถส่งกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ เเละเคยเห็นนายทักษิณไปนั่งที่โซฟาภายในห้องพัก นอกจากจะนอนอยู่เเค่ที่เตียง ส่วนที่ได้เป็นเเพทย์เจ้าของไข้ทักษิณเพราะว่าเป็นเเพทย์ที่รับไข้คนเเรก