วันเสาร์, กันยายน 6, 2025
หน้าแรกคอลัมนิสต์ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย“น้ำลายหก อ้าปากหวอกันเลย!!!”

Related Posts

“น้ำลายหก อ้าปากหวอกันเลย!!!”

พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 17 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2531 ด้วยนโยบายและแนวคิดใหม่ ๆ ที่ทรงพลัง ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจกับสังคม รวมถึงนโยบายอีกหลายเรื่อง

ทว่า.. จากวันนั้น ปี2531 มาถึงวันนี้ ปี 2568 เวลาล่วงเลยนานถึง 37 ปีจากยุค“โน พร็อบเบลม”ของ“น้าชาติ” วันนี้เมืองไทยกลายเป็น “เต็มไปด้วยปัญหา”จาก“นายแม้ว-คนตัณหาหนัก”

ซ้ำร้าย.. ปัญหาชาติหนักหนาสาหัสอย่างมหาศาลด้วย “น้ำมือ”ของอดีตนายกฯ มหาเศรษฐี “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มีสันดาน ละโมบ โลภมาก มิรู้จักพอ

นายทุนสามานย์คนนี้”ล่วงรู้ถึงจุดอ่อนของระบอบประชาธิปไตยทุนสามานย์ ที่“เงิน”ซื้อได้ทั้ง“นักการเมืองเลว”และ“คนขายเสียง”ในทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งทั่วไป เขาใช้ทั้งนโยบาย“ประชานิยม” รวมทั้งใช้“หมาในคอก”และ“หมานอกคอก” ยกมือดันหลังให้“ลูกสาวปัญญานิ่ม”ขึ้นเป็นนายกฯ โดยไม่แยแสว่า ชาติกับประชาชนจะฉิบหายวายป่วงมากสักเพียงใด.. ครอบครัวชิน No สน No แคร์ ว่ะ!!!

ช่วงที่ “น้าชาติ”เป็นนายกฯ ผมกับพี่โต้ง ยังคงไปมาหาสู่กันเป็นประจำที่บ้านเรือนไทย บางคราก็นัดเจอกันที่ “บ้านพิษณุโลก” เพราะเป็นที่ทำงานของพี่โต้งกับ “ทีมที่ปรึกษานายกฯ ชาติชาย” ซึ่งผมก็รู้จักคุ้นเคยกับสมาชิกในทีม

ช่วงนั้น “น้าชาติ”กับพี่โต้ง ซึ่งเป็นประธานที่ปรึกษานายกฯ เห็นตรงกันว่า อยากได้นักธุรกิจรุ่นใหม่ทันโลกทันสถานการณ์ และประสบความสำเร็จในยุคนั้น ให้เข้ามาเป็นรัฐมนตรี นักธุรกิจที่ถูกเล็งไว้คนนั้นคือ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ซึ่งทำธุรกิจสื่อมวลชนและอื่นๆ อีกมากมาย พี่สนธิเป็นเพื่อนสนิทของพี่โต้งและ“น้าชาติ”ก็ชอบหลายความคิดใหม่ๆ ของพี่สนธิด้วย แต่หลังพี่สนธิรู้ว่า “ต้องช่วยพรรคสัก 20 ล้านบาท” พี่สนธิได้ปฏิเสธตำแหน่งรัฐมนตรีทันที

เรื่อง“ช่วยพรรค”แบบนี้ อย่าทำเป็นเล่นนะครับ ผมจะเล่าเรื่องจริงแต่ขอไม่บอกชื่อนะครับ “นักธุรกิจหนุ่มคนหนึ่ง”มาถามผมว่า “ผมเป็นนักธุรกิจ ขอถามว่า.. พ่อผมจะได้ตำแหน่งอะไร?” พอเขารู้ว่าพ่อจะได้ตำแหน่งสำคัญบริหารด้านการคลังเท่านั้นแหละ.. “เจ้าหนุ่มนักธุรกิจ”ในวันนั้น (ผู้กลายเป็นนักการเมืองใหญ่ในวันนี้) “เซ็นเช็ค 150 ล้านบาท”ยื่นให้ผมต่อหน้าพี่โต้งทันที! จากนั้นผมก็เดินถือเช็คฉบับนั้นจะเอาไปให้ “น้าชาติ” แต่เจอ “พ่อเจ้าหนุ่มคนนั้น” นั่งรับประทานอาหารอยู่กับ“น้าชาติ”พอดี “พ่อเจ้าหนุ่มฯ”ผู้มีตาไวราวกับเหยี่ยว เมื่อเหลือบเห็นลายเซ็นคุ้นๆ บนเช็ค เขาก็รีบคว้าหมับไปเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองเสียฉิบ!

การเป็นประธานที่ปรึกษานายกฯ ทำให้พี่โต้งง่วนอยู่กับการประสานงานกับ “ท่านนายกฯ ชาติชายผู้พ่อ” ส่วนผมก็วุ่นอยู่กับการผลักดันงานของพีรพล ทั้งในกรุงเทพและเวียดนาม

ก่อนปีใหม่ปีหนึ่ง พีรพลได้คิดโปรเจคและผลักดันจนเกิดการร่วมทำปฏิทินระหว่างไทยกับเวียดนามขึ้น โดยฝ่ายไทยมีผมและ“สิงห์คม บริสุทธิ์” ตากล้องมือฉมังของกรมศิลปากรเขาเป็นช่างภาพที่ถนัดถ่ายรูปโบราณวัตถุสำคัญๆ ของชาติได้อย่างสวยงาม ผลงาน“สิงห์คม”ทำให้ปฏิทินของผมและเพื่อน คว้ารางวัลที่ 1 ในการประกวดในไทยมาตลอดหลายปี เช่นภาพถ่ายเครื่องทองในพิพิธภัณฑ์“เจ้าสามพระยา” จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และที่โด่งดังระเบิดคือ ภาพถ่าย“ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์” ที่อเมริกายอมส่งคืนให้ไทย ซึ่งพิมพ์ใหญ่ขนาดกระดาษตัดสอง ทำให้เห็นรายละเอียดทุกมิติของพื้นหินทับหลังผลงานถ่ายภาพมากมายของ“สิงห์คม บริสุทธิ์” ทำให้เขาได้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์

เรื่องการทำปฏิทินในปีนั้น ทางเวียดนามเป็นฝ่ายสนับสนุนนางแบบให้สิบกว่าคน เพื่อให้ผมกับสิงห์คมคัดเลือกจนเหลือแค่ 6 คน มีทั้งที่เป็นนางแบบอาชีพ นางงาม รวมทั้งดาราภาพยนตร์ที่เป็นอดีตนักยิมนาสติค การถ่ายทำมีทั้งฉากในตึกสำนักงานกรุงโฮจิมินห์ ฉากริมแม่น้ำไซ่ง่อน และฉากสาวใส่บิกินีเอนนอนอยู่ชายหาดริมทะเล ฯลฯ

ผมได้ถามถึงค่าตัวนางแบบที่ต้องทำงานหนึ่งถึงสองวัน จึงได้รู้ว่า “กลุ่มนางแบบ”ได้ค่าตัวเฉลี่ยวันละ 1,000 บาทเท่านั้น แต่เธอต้องทำผมแต่งหน้าและขนเสื้อผ้าของตัวเองมาด้วย ผิดกับนางแบบไทย ที่มาแต่ตัว มีช่างแต่งหน้า มีเสื้อผ้าเตรียมไว้ให้เสร็จสรรพ แถมรายได้ต่างกันลิบลับ นางแบบไทยทั่วไปรับเงินอย่างต่ำชั่วโมงละ 5,000 บาท

เมื่อการถ่ายทำในครั้งนั้นเสร็จสิ้น พีรพลใจป้ำจัดงานเลี้ยง“ขอบคุณ”บรรดานางแบบทุกคน รวมทั้งเลี้ยงทีมงานทางฝ่ายเวียดนามด้วย โดยมีวงสตริงคอมโบ้ชื่อดังของเวียดนาม และนักร้องชายหญิงมาสร้างความบันเทิงกันอย่างสนุกสนาน นักดนตรีเวียดนามวงนี้ฝีมือดีทีเดียว เล่นเพลงสากลที่ฮิตเหมือนในไทย มีทั้งเพลงของวงร็อคอเมริกันชื่อย่อ CCR” ชื่อเต็ม “Creedence Clearwater Revival โดยเล่นเพลงดังเช่นProud Mary กับ Have You Ever Seen the Rain ส่วนเพลงสไตล์ฮาร์ดร็อคก็เล่นเพลงของวง Steppenwolf” โดยเล่นเพลงที่นิยมกันอย่างBorn to be Wild โดยเฉพาะเพลงที่นักดนตรีชอบเล่น มีทั้งเพลง Burn และเพลงHighway Star ของวงม่วงมหากาฬอย่าง Deep Purple เป็นต้น ส่วนเพลงช้าๆ ก็เล่นเพลงของวง The Bee Gees ซึ่งหนีไม่พ้นเพลงHow Deep is Your Love และเพลงของวงดนตรีอเมริกันอื่นๆ อีกมากมาย กว่าจะเลิกงานก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว..

การถ่ายภาพนางแบบทำปฏิทินใช้เวลาร่วมอาทิตย์ ก่อนที่ผมจะนำภาพนางแบบเวียดนามทุกคนที่“สิงห์คม”ถ่ายกลับเมืองไทย เพื่อออกแบบ ทำอาร์ตเวิร์ค และพิมพ์จนเสร็จสิ้นก่อนปีใหม่ จากนั้นพีรพลก็นำปฏิทินไปมอบให้กับทางฝ่ายเวียดนาม ส่วนผมก็นำเบื้องหน้าเบื้องหลังการทำปฏิทินไทย-เวียดนามในครั้งนั้น ไปเผยแพร่ลงทั้งในหนังสือพิมพ์และนิตยสารบางฉบับ รวมทั้งนำไปให้พี่โต้งกับที่ปรึกษา“บ้านพิษณุโลก”บางคนดู เมื่อเห็นภาพ“พวกคุณเธอ” ที่ปรึกษาบางคนถึงกับ“น้ำลายหกโดยไม่รู้ตัว!”

เรียกว่า บางด้านของงาน“แปรสนามรบเป็นสนามการค้า” “น้าชาติ”ไม่รู้เลยว่า“ที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก”หลายคน“น้ำลายหยดอ้าปากหวอ”กันไปแล้ว.. เอ้อ!… แล้วผมจะมาเล่าเรื่องอื่นให้ทราบกันนะครับ!

สืบจากข่าว รายงาน

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts