ภายใต้ปฏิบัติการ “120 วัน วาระพืชกระท่อม” ที่ขับเคลื่อนโดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้เกิดกระแส “ไม่เอากระท่อม” อย่างกว้างขวางและเป็นรูปธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2568 โดยมีเป้าหมายคือการกวาดล้างพืชกระท่อมและยาเสพติด พร้อมกับการสร้างความเข้มแข็งและโอกาสใหม่ๆ ให้กับชุมชน
นายธีรวิทย์ เธียรฆโรจน์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง ศอ.บต. ย้ำว่า “ถนนสายหลักทุกสาย ภายใน 120 วัน ต้องไม่มีการค้าขายพืชกระท่อม” และเน้นย้ำถึงพลังสำคัญจากภาคประชาสังคมและศาสนาว่า “พลังจิตอาสาและพลังของผู้นำศาสนาจะต้องเข้ามาช่วย พวกเราต้องร่วมกันใช้พลังทางสังคม กดดัน จนทำให้คนเหล่านั้นอยู่ไม่ได้” โดยชี้ว่าผู้นำศาสนาได้วินิจฉัยแล้วว่ากระท่อมทำให้มึนเมาและเป็นสิ่ง “ฮะรอม” (สิ่งต้องห้าม)
“ชื่นชมพลังชุมชนที่ลุกขึ้นมาปฏิเสธยาเสพติดเอง เพราะ “ความยั่งยืนสู้พลังชุมชนลุกขึ้นมาทำกันเองไม่ได้” และย้ำว่ารัฐบาลและทุกหน่วยงานกำลังขับเคลื่อนเต็มที่ โดยคาดหวังผลสำเร็จด้านยาเสพติดภายในวันที่ 30 กันยายนนี้
นายแพทย์สุนทรพจน์ ชูช่วย รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลธัญญารักษ์ปัตตานี ชี้แจงถึงความสับสนของสังคมเกี่ยวกับใบกระท่อม โดยระบุว่าแม้กระท่อมจะมีสรรพคุณทางยาและเป็นส่วนผสมในตำรับยาไทยจริง แต่ปริมาณที่ใช้เป็นยาจะน้อยมาก เพียงไม่กี่ใบเท่านั้น ปัญหาที่น่าเป็นห่วงคือการนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่นำใบกระท่อมมาต้มในปริมาณมหาศาล บางครั้งสูงถึงครึ่งกิโลกรัมต่อครั้ง การกระทำเช่นนี้ทำให้เกิดสารสกัดเข้มข้นมากเกินไป นำไปสู่อาการมึนเมาและปัญหาด้านสุขภาพร้ายแรง ผลกระทบต่อสุขภาพที่พบนอกจากการมึนเมา ได้แก่ปัญหาจิตเวช: พบว่าผู้ที่ดื่มน้ำกระท่อมเข้มข้นอาจมีอาการทางจิตเวชได้ประมาณ 3-5 เปอร์เซ็นต์ โรคไต: มีผู้ป่วยวัยรุ่นบางรายที่ต้องเข้ารับการรักษาด้วยอาการไตวายเฉียบพลันจากการบริโภคน้ำกระท่อมในปริมาณมากเกินไป
นายแพทย์สุนทรพจน์ย้ำว่า การบริโภคใบกระท่อมในปริมาณที่มากเกินไปจะออกฤทธิ์คล้ายกับ เฮโรอีน และมีอาการถอนพิษที่รุนแรง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถนำมาใช้ทางการแพทย์ได้อย่างปลอดภัยและเหมาะสม
ส่วนนายแอ หนึ่งในผู้เข้ารับการบำบัดที่โรงพยาบาลธัญญารักษ์ปัตตานี ได้ให้กำลังใจโดยกล่าวว่า การตัดสินใจเลิกยาเกิดจากความต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิต และไม่อยากให้แม่เสียใจอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังได้รับการส่งเสริมอาชีพจาก ศอ.บต. เพื่อให้โอกาสได้กลับไปทำในช่วงที่กลับไปอยู่กับครอบครัวด้วย จึงอยากขอบคุณ ทางศอ.บต. ที่ส่งเสริมอาชีพให้
ด้าน นางรอพีอะ สาแม ชาวบ้านในพื้นที่โคกโพธิ์ ก็ยืนยันว่า “ชาวบ้านไม่เอา ทุกคนปฏิเสธกระท่อม และยาเสพติดหมด ดีใจที่ทุกหน่วยร่วมกันปราบปราม มั่นใจว่าอนาคต กระท่อมจะต้องกลับคืนบัญชียาเสพติด”
ขณะที่ หลายพื้นที่ได้นำ “กฎฮูกุมปากัต” (ธรรมนูญหมู่บ้าน) มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน อาทิ ที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี อ.เมือง จังหวัดยะลา ซึ่งส่งผลให้ร้านค้ากระท่อมตามเส้นทางต่างๆ ทยอยปิดตัวลง นอกจากนี้ ปอเนาะหลายแห่ง โดยเฉพาะ ปอเนาะปาแด อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้กลายเป็นศูนย์ฟื้นฟูเยาวชนผู้ติดยาเสพติดโดยใช้หลักศาสนาบำบัด ผู้นำศาสนาในพื้นที่ได้มีบทบาทสำคัญในการให้ความรู้แก่ประชาชนว่า “ยาเสพติดเป็นฮะรอม” (สิ่งต้องห้าม) ตามหลักศาสนาอิสลาม และมีส่วนร่วมในการรณรงค์อย่างแข็งขัน
เช่นเดียวกับ นายยำอาด ลิงาลาห์ ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสตูล ยืนยันว่า “ยืนยันว่าเราไม่เอายาเสพติดและกระท่อมเราพร้อมรวมพลังต้อต้าน”
ขณะที่ นายประเสริฐ ดอเลาะ กำนันตำบลเปียน สะบ้าย้อย กำลังเร่งสร้าง “ปอเนาะครอบครัวปั่นสุข” เพื่อบำบัดผู้ติดยาเสพติดด้วยหลัก “ศาสนาบำบัด” เนื่องจากชาวบ้านยากไร้และเดินทางไปบำบัดไกลได้ยาก
ส่วน อส.สุเมธ ยีกาจิ อส.ชคต.เปียน ก็ ยืนยันว่า “ชาวบ้านที่นี้ไม่เอายาเสพติด ไม่เอากระท่อม” และหวังให้ปอเนาะเปิดเร็วๆ นี้
นายมนต์ชัย หนูสาย นายอำเภอปะนาเระ ยืนยันว่า อ.ปะนาเระ ปลอดการปลูกและขายน้ำกระท่อมแล้ว หลังใช้ มาตรการทางสังคม ร่วมกับผู้นำศาสนาและกำลัง 3 ฝ่ายพูดคุยกับผู้ค้า จนย้ายออกไปหมดไม่มีการขายใบกระท่อมริมถนนในพื้นที่ปะนาเระ พร้อมเน้นการให้ความรู้ การบำบัด และการป้องกันเยาวชน
ด้าน นายอัซมาน เจะหมะ รองนายก อบต.ควน อำเภอปะนาเระ เผยว่า หลังเจ้าหน้าที่และผู้นำชุมชนร่วมกันพูดคุย ผู้ค้ากระท่อมในพื้นที่ก็ไม่กลับมาขายอีกเลย ชาวบ้านต่างพอใจเพราะไม่ต้องการให้ลูกหลานยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติด
นายวันอัซวันย์ วาโต๊ะมะ ผู้ใหญ่บ้าน ม.6 อ.รามัน ได้นำชาวบ้าน โค่นต้นกระท่อม เพื่อสนองนโยบาย “ปฏิบัติการ 120 วัน” ของ ศอ.บต. ด้าน นายกามารูดิง มูซอ กำนัน ต.มะนังยง อ.ยะหริ่ง ย้ำการแก้ปัญหาต้องอาศัย “สภาสันติสุข” และความร่วมมือชุมชนในการบำบัดผู้ติดยาอย่างจริงใจ
ด้าน มูลนิธิบ้านอุ่นไอรัก นำโดย นายอาหามะพัดลี ยูโซะ ใช้ ศาสนาบำบัด ควบคู่ กีฬาบำบัด และ ฝึกอาชีพ เพื่อฟื้นฟูผู้ติดยา ซึ่งได้รับสนับสนุนจาก ศอ.บต. เช่นเดียวกับ ปอเนาะดารุลอูโลมวิทยา ที่เพาะเห็ดสร้างรายได้และทักษะอาชีพให้นักเรียน หลังได้รับการสนับสนุนจาก ศอ.บต.
ขณะที่ นายสะอารี ยาลอ กำนันตำบลบาโร๊ะ อำเภอยะหนา ชี้ปัญหาสำคัญคือ ผู้บำบัดแล้วกลับไปติดซ้ำเพราะขาดอาชีพ จึงต้องจัดหาอาชีพให้ยั่งยืน และนำเด็กกลุ่มเสี่ยงไปฝากปอเนาะเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันชีวิต
นอกจากนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้บูรณาการกำลังตำรวจ, ทหาร, ฝ่ายปกครอง, และ ป.ป.ส. ภาค 9 ช่วง กรกฎาคม 2568 จับกุมเครือข่ายยาเสพติด จำนวน 3 เครือข่าย 8 ราย ยึดของกลาง ยาบ้า 1.7 ล้านเม็ด ยาไอซ์: รวม 317 กิโลกรัม สถิติเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นในพื้นที่ชายแดนใต้ และเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายระดับชาติในการแก้ไขปัญหานี้
จากแผนปฏิบัติการ “120 วัน วาระพืชกระท่อม” ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา จึงไม่เพียงเป็นการปราบปรามยาเสพติด แต่เป็นการสร้างปรากฏการณ์แห่งความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน และผู้นำศาสนา เพื่อพลิกโฉมจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติดอย่างยั่งยืน









ตอริก สหสันติวรกุล รายงาน