“…แม้เกาะเต่าจะเป็นจุดหมายท่องเที่ยวระดับโลก สร้างรายได้ให้ประเทศปีละนับพันล้านบาท แต่คนในพื้นที่กลับยังไม่มีน้ำสะอาดใช้ในหน้าแล้ง เทศบาลท้องถิ่นต้องทำหนังสือร้องขอถึงอดีต ส.ส. เพื่อขอความช่วยเหลือขุดบ่อบาดาล คำถามคือ ระบบบริหารจัดการทรัพยากรของไทย กำลังทิ้งให้พื้นที่ชายขอบต้อง “พึ่งการเมือง” เพื่อเข้าถึงสิ่งพื้นฐานอย่างน้ำกินใช่หรือไม่?…”
เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2568 นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ตนได้รับหนังสือจากนายอภิชาต มีเพียร นายกเทศมนตรีตำบลเกาะเต่า ขอการสนับสนุนจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เพื่อขุดเจาะบ่อบาดาลขนาดใหญ่ แก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในพื้นที่ที่เผชิญวิกฤตซ้ำซากทุกหน้าแล้ง
เทศบาลระบุว่า หมู่ที่ 1-3 บนเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน มีประชากรจริงราว 2,500 คน และประชากรแฝงจากการท่องเที่ยวอีกกว่า 15,000 คน แต่กลับไม่มีแหล่งน้ำจืดตามธรรมชาติ เนื่องจากภูมิประเทศเป็นเกาะภูเขาล้อมทะเล ทำให้ต้องพึ่งพาบ่อน้ำตื้นและบ่อบาดาลที่มีอยู่อย่างจำกัด
ปัญหาการขาดแคลนน้ำจึงเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงฤดูแล้ง โดยเฉพาะในช่วงที่นักท่องเที่ยวเข้าพักจำนวนมาก ส่งผลให้ปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของทั้งประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่
งบมีน้อย ความเดือดร้อนมีมาก
หนังสือที่ลงนามโดยนายอภิชาต ระบุว่า เทศบาลเกาะเต่าเป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นขนาดเล็ก มีงบประมาณเพื่อการลงทุนเพียงปีละ 3 ล้านบาท ไม่เพียงพอสำหรับการขุดบ่อบาดาลขนาดใหญ่ตามแบบแปลนของกรมทรัพยากรน้ำ จึงจำเป็นต้องร้องขอความช่วยเหลือจากส่วนกลางผ่านกลไกทางการเมือง
“หากได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงฯ จะสามารถแก้ปัญหาน้ำในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” – ตอนหนึ่งในหนังสือระบุ
นักท่องเที่ยวไหลเข้า แต่น้ำกินยังไม่มี?
เกาะเต่าถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกที่มีรายได้หมุนเวียนสูง แต่กลับยังไม่มีระบบจัดการน้ำสะอาดอย่างเป็นระบบ คำถามจึงเกิดขึ้นว่า โครงสร้างงบประมาณของรัฐไทยตอบสนองความต้องการพื้นฐานของประชาชนได้เพียงพอหรือไม่?
ในขณะที่กรมทรัพยากรน้ำมีแบบแผนรองรับพร้อมใช้งาน แต่การจัดสรรงบประมาณยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในระดับพื้นที่
สถานการณ์ในเกาะเต่าอาจไม่ใช่กรณีเดียวในประเทศไทยที่ประชาชนต้องรอความช่วยเหลือจากนักการเมืองผ่านช่องทางส่วนตัว ข้อเท็จจริงดังกล่าวสะท้อนคำถามเชิงระบบว่า รัฐควรจัดการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน เช่น น้ำสะอาด อย่างไรให้ทั่วถึงและเท่าเทียม โดยไม่ต้องพึ่ง “ความช่วยเหลือเฉพาะราย”





