เมื่อเสียงปืนนัดแรกดังขึ้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา มันไม่ใช่แค่สัญญาณของการปะทะ แต่เป็นจังหวะที่หัวใจของทหารไทยทุกนายต้องตัดสินใจที่จะยืนหยัดต่อสู้ พร้อมคำมั่นสัญญาว่า “อธิปไตยไทยจะไม่ให้ใครแตะต้อง”…แม้ต้องแลกด้วยชีวิต
เมื่อแผ่นดินต้องเผชิญไฟสงคราม เมื่อชายแดนต้องถูกท้าทายด้วยอาวุธและแรงบีบคั้นจากกัมพูชา ผู้ที่ยืนหยัดอยู่แนวหน้าไม่ใช่ใครอื่น…คือลูกหลานไทยในเครื่องแบบทหาร ผู้กล้าหาญที่ยืนหยัดปกป้องผืนแผ่นดินไทยด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของตนเอง
เบื้องหลังความกล้าหาญนั้น คือการจากบ้านโดยแทบไม่มีคำล่ำลา การทิ้งลูกเมียไว้ข้างหลังเพื่อทำหน้าที่ในแนวหน้า
บางนายเพิ่งมีลูกน้อย บางคนเพิ่งแต่งงาน บางคนยังไม่ได้จูบลาลูก บางคนอาจพูดกับตัวเองว่า “พ่ออาจไม่ได้กลับไปบอกลูกว่า ‘พ่อรักลูก’ แต่พ่ออยากให้ลูกภูมิใจว่า ‘พ่อรักแผ่นดินนี้จนยอมตาย’”
บางนายเพิ่งโทรกลับบ้านบอก “เดี๋ยววันแม่จะกลับไปกราบแม่ให้ได้นะครับ” แต่ไม่มีวันนั้นอีกแล้ว
บางคน “ลูกยังไม่ทันเรียกพ่อ…แต่พ่อกลับเลือกจับปืนแทนจับมือลูก” เสียงสะอื้นที่เงียบงันจากครอบครัวของทหารแนวหน้า คือราคาที่ชาติไทยจ่ายด้วยหัวใจของคนกล้า
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พวกเขากลับเลือกอยู่แนวหน้า เพราะรู้ว่า…ถ้าพวกเขาไม่ยืนตรงนี้ คนไทยอีกหลายล้านคนจะไม่มีวันนอนหลับอย่างปลอดภัย
ทหารไทย…ผู้ไม่เคยร้องขอคำขอบคุณ ไม่หวังคำชม ไม่ต้องการชื่อเสียง สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการ คือเห็นธงไตรรงค์โบกสะบัดอยู่เหนือแผ่นดินโดยไม่มีใครมาลบลู่
ขอสดุดีทหารกล้าผู้เสียสละทุกท่านเพื่อให้คนไทยได้อยู่ใต้ธงชาติอย่างสงบและภาคภูมิ เราจะไม่ลืมพวกเขา ไม่ลืมเลือดที่ซึมลงผืนดิน ไม่ลืมวีรกรรม ไม่ลืมคำมั่นว่า “แผ่นดินไทยนี้ จะไม่มีวันถูกเหยียบย่ำโดยใครหน้าไหน!”
“ขอคำนับดวงวิญญาณของทหารไทยทุกนายที่ยอมเหน็ดเหนื่อย…ยอมเจ็บ…ยอมตาย เพื่อให้แผ่นดินไทยเป็นของลูกหลานไทยต่อไป”
ขอคารวะด้วยหัวใจ