“ผู้นำสหรัฐฯ และ รัสเซีย เห็นพ้องกันในหลายประเด็น แม้ทั้งสองฝ่ายจะยังไม่บรรลุข้อตกลง แต่มีความคืบหน้าบางประการ ขณะที่ทรัมป์ แจ้งกับผู้นำยุโรป ต้องการจัดการประชุมสุดยอดไตรภาคี ร่วมกับปูติน และ เซเลนสกี ในวันที่ 22 ส.ค. นี้”
การพบกันระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เมื่อวันศุกร์ 15 ส.ค. ที่เมืองแองเคอเรจ รัฐอะแลสกาของสหรัฐฯ แม้สิ้นสุดลงโดยไม่มีข้อตกลงเกี่ยวกับวิกฤตยูเครน แต่ถือว่ามีประสิทธิผลอย่างยิ่ง
การหารือใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการพบหน้ากันครั้งแรก ระหว่างประธานาธิบดีทั้งสอง นับตั้งแต่ปี 2021
ประธานาธิบดีทั้งสอง จัดการแถลงข่าวร่วมกัน หลังจากเสร็จสิ้นการพบปะหารือ ณ ฐานทัพร่วมเอลเมนดอร์ฟ-ริชาร์ดสัน ในเมืองแองเคอเรจ ซึ่งทรัมป์กล่าวว่า พวกเขาเห็นพ้องกันในหลายประเด็น แม้ทั้งสองฝ่ายจะยังไม่บรรลุข้อตกลง แต่ยังคงมีความคืบหน้าบางประการ
ด้านปูตินแสดงความเห็นด้วยว่า ควรรับประกันความมั่นคงของยูเครน และระบุว่าข้อตกลงที่เขาบรรลุกับทรัมป์ จะนำไปสู่สันติภาพในยูเครน
ปูตินกล่าวว่า การเจรจาเกิดขึ้นภายใต้บรรยากาศเชิงสร้างสรรค์ ของการเคารพซึ่งกันและกัน และการพบปะกันในลักษณะนี้ ควรมีขึ้นมานานแล้ว พร้อมระบุว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นโศกนาฏกรรมและบาดแผลอันเลวร้าย และรัสเซียต้องการการยุติเรื่องนี้
ต่อมาในวันเสาร์ 16 ส.ค. อาซิออส เว็บไซต์ข่าวของสหรัฐฯ รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แจ้งกับผู้นำยุโรป หลังการหารือกับวลาดิเมียร์ ปูติน ว่า ตนต้องการจัดการประชุมสุดยอดไตรภาคี ร่วมกับปูติน และ โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ให้เร็วที่สุด ในวันที่ 22 ส.ค. นี้ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายรัสเซียยังไม่ได้ให้คำมั่นต่อสาธารณะว่า จะเข้าร่วมการประชุมไตรภาคีนี้
ก่อนหน้านี้ หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน เคยกล่าวต่อรัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่ม G20 ที่เมืองโจฮันเนสเบิร์กว่า จีนสนับสนุนความพยายามทั้งหมด ที่จะช่วยนำสันติภาพมาสู่ยูเครน รวมถึงข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่า จีนยินดีที่จะมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ ในการหาทางออกทางการเมือง สำหรับความขัดแย้งนี้
