สิ้นสุดลงไปแล้ว สำหรับการเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. … ที่กระทรวงพลังงานเปิดเวทีให้ประชาชนได้เข้าไปแสดงความคิดเห็นกัน สิ้นสุดวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา
สาระหลักที่กระทรวงพลังงานและพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ตีปี๊บถึงเนื้อหาของร่างกฎหมายฉบับนี้ ก็คือ การกำหนดระเบียบและหลักเกณฑ์ในการติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับผลิตไฟใช้เอง ซึ่งได้แก่ การติดตั้งบนหลังคา (solar rooftop) การติดตั้งบนทุ่นลอยน้ำ (solar floating) และการติดตั้งบนพื้นดิน (solar ground mount) รวมถึงหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบและกำกับติดตาม โดยจะบังคับใช้กับสถานที่อยู่อาศัย สถานประกอบกิจการ และสถานที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานประกาศกำหนด
ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ จะต้องแจ้งการติดตั้งให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยไม่ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานของรัฐอีก
และหากจะมีการ ‘จำหน่าย’ หรือ ‘ให้’ กระแสไฟฟ้าต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด รวมถึงในบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยอัตราค่าไฟฟ้าให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ภายใต้ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำกับติดตามอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์และซากอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อให้การใช้พลังงานแสงอาทิตย์มีความปลอดภัยสำหรับประชาชน และมีบทบัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบการติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อให้การกำกับการใช้งานมีมาตรฐานและความปลอดภัย
(รายละเอียดเนื้อหาร่างกฎหมาย: https://www.law.go.th/listeningDetailsurvey_id=NTYzNURHQV9MQVdfRlJPTlRFTkQ=)
ทั้งหลายทั้งปวงจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์นี้หรือไม่ เหตุใด “ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน” ถึงมองว่า เนื้อแท้ของร่างกฎหมายฉบับนี้ คือการ “รวบอำนาจ” ในการกำกับดูแลโซลาร์เซลล์มาอยู่ในมือกระทรวงพลังงาน แถมยัง “ก้าวล่วง” อำนาจของหน่วยงานอื่นอย่าง กกพ. กพช. และ กฟผ. อย่างไม่เกรงใจใครด้วยอีก
คลี่ร่างกฎหมายโซลาร์เซลล์: พลังงานรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ
สาระหลักของร่างกฎหมายฉบับนี้ อยู่ที่หมวด 2 การติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ที่มาตรา 7 การผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับใช้ในที่อยู่อาศัย หรือในสถานประกอบกิจการ หรือในสถานที่ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ไม่ถือเป็นการประกอบกิจการพลังงานตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการพลังงาน และไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยโรงงาน กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง กฎหมายว่าด้วยการพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน และไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
ขณะที่การติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในที่อยู่อาศัย หรือในสถานประกอบกิจการดังกล่าว ให้กระทำโดยไม่ต้องขออนุญาตหน่วยงานของรัฐ แต่ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี (มาตรา 8)
โดยก่อนประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ตามมาตรา 8 ให้อธิบดีแจ้งหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แจ้งหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย หรือการปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรฐานทางไฟฟ้า มาตรฐานทางโยธาและโครงสร้างอาคารและอื่นๆ ภายในระยะเวลาที่กำหนด
กรณีที่รัฐมนตรีหรืออธิบดีเห็นว่าหลักเกณฑ์ของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ไม่เป็นไปตามวรรคสอง ให้แจ้งให้หน่วยงานของรัฐนั้นๆ แก้ไขหลักเกณฑ์ให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนด มิฉะนั้นให้รัฐมนตรีมีอำนาจวินิจฉัยให้ยกเลิก หรือไม่ประกาศบังคับหลักเกณฑ์นั้นได้ (มาตรา 9)
กรณีหน่วยงานรัฐใดไม่แจ้งประกาศหลักเกณฑ์ของหน่วยงานมายังอธิบดีภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือไม่แก้ไขหลักเกณฑ์ตามที่อธิบดีหรือรัฐมนตรีพลังงานแจ้ง ให้ถือว่าหน่วยงานรัฐนั้นไม่มีหลักเกณฑ์ใดที่กำหนดเกี่ยวกับการติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (มาตรา 10)
ก้าวล่วงอำนาจ กกพ.-กพช.-โยธา?
ในความเป็นจริง คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ “ปลดล็อก” เปิดเสรีการติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับประชาชนทั่วไปไปแล้วก่อนหน้า โดยมติ ครม.เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ได้เห็นชอบการติดตั้งโซลาร์เซลล์ไม่ถือเป็นกิจการที่ต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) ตาม พ.ร.บ.โรงงาน
และมติ ครม.เมื่อ 4 เมษายน 2568 ยังเห็นชอบให้การติดตั้งโซลาร์เซลล์ กรณีพื้นที่ติดตั้งไม่เกิน 160 ตารางเมตร – บ้านเรือนทั่วไป ไม่ถือเป็นกิจการที่ต้องขออนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลงอาคาร (อ.1) ตามกฎหมายควบคุมอาคารแต่อย่างใด
แต่กรณีติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อการประกอบกิจการเชิงพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม (เกิน 160 ตารางเมตร) ที่ยังจำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องของความปลอดภัย ความมั่นคงแข็งแรงของอาคาร ความมั่นคงของระบบไฟฟ้า หากจะเชื่อมโซลาร์เซลล์เข้าโครงข่ายของ 3 การไฟฟ้า ที่ยังมีความจำเป็นต้องขออนุญาตหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ต่อไป
แต่กระทรวงพลังงานได้ดึงเอาอำนาจทั้งมวลในการขออนุญาตมาอยู่ในมือแทน ไม่ว่าจะอำนาจของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และ 3 การไฟฟ้า (กฟผ.-กฟน.-กฟภ.) รวมทั้งกรมโยธาธิการและกรมโรงงานอุตสาหกรรม ที่ต่อไปให้แจ้งและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงพลังงานกำหนดเท่านั้น ไม่ต้องไปขออนุญาตจากหน่วยงานเหล่านั้นอีก โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ กกพ. ที่แต่เดิมต้องกำกับดูแลกิจการโซลาร์เซลล์ที่ตนเองร่วมกับ กฟผ. ตั้งโต๊ะรับซื้อไฟโซลาร์เซลล์จากผู้ประกอบการไปนับพันเมกะวัตต์ จากผู้ประกอบการนับร้อย หรือหลายร้อยราย แต่จากนี้ไปการซื้อ-ขายไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ในรูปแบบต่างๆ ต้องได้รับความเห็นชอบจาก “กระทรวงพลังงาน” แทน
ถือเป็นการ “ก้าวล่วง” อำนาจในการกำกับดูแลของหน่วยงานอื่นอย่างชัดแจ้ง ราวกับว่า กระทรวงพลังงานมีเครื่องมือ เครื่องไม้ หรือมีความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบความมั่นคง ปลอดภัยของอาคารบ้านเรือนที่อยู่อาศัยหรือสถานประกอบกิจการที่มีการขอติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่ว่านี้อยู่ในมืออย่างเบ็ดเสร็จ
ไร้กำลังแต่อยากมีกระบองในมือ
สิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า กระทรวงพลังงาน “รวบอำนาจ” ในการกำกับดูแลโซลาร์เซลล์เบ็ดเสร็จ ทั้งยังก้าวล่วงอำนาจของหน่วยงานอื่นๆ ชนิด “ไม่สนโลก” เลยก็คือ มาตรา 13 วรรคสอง “ในกรณีติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ส่วนใดส่วนหนึ่งบนหลังคา หรือบนส่วนปกคลุมของสถานที่ติดตั้ง ต้องจัดให้มีการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างหลังคาที่ว่าซึ่งรับรองโดยวิศวกรไฟฟ้าและวิศวกรโยธาตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร โดยต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนด (มาตรา 12)
สะท้อนให้เห็นว่า กระทรวงพลังงานเองยังไม่กล้าแบกรับความเสี่ยงในด้านความมั่นคงแข็งแรงของอาคารสถานที่ติดตั้งอุปกรณ์โซลาร์เซลล์ที่ว่า สุดท้ายยังคงต้องให้วิศวกรไฟฟ้า หรือวิศวกรโยธาเข้ามาตรวจสอบรับรองอยู่ดี แต่ตัวเองก็ยังวางอำนาจว่าที่ตรวจสอบและสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้นต้องเป็นไปตามข้อกำหนดหลักเกณฑ์ที่ตัวเองกำหนดขึ้นมา
นอกจากนี้ มาตรา 14 ในกรณีที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยหรือการไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือเจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ประสงค์จะตรวจสอบการติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่สถานที่ติดตั้งใด ให้แจ้งอธิบดีทราบเพื่อสั่งการให้มีการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ต้องแจ้งให้เจ้าของสถานที่ติดตั้งทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน
ในกรณีที่การตรวจสอบตามวรรคหนึ่งพบว่า การติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้เจ้าของสถานที่ติดตั้งแก้ไขความบกพร่อง หรือความไม่ปลอดภัย หรือการที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ตามพระราชบัญญัตินี้ ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำสั่ง…. เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการรวบอำนาจกำกับดูแลโซลาร์เซลล์ทั้งหมดมาอยู่ในมือแบบเบ็ดเสร็จ ทั้งที่พลังงานเองไม่ได้มีหน้าที่หรือความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของอาคาร สถานที่ โครงสร้างต่างๆ รวมทั้ง ความมั่นคงปลอดภัยของระบบไฟฟ้าหากจะต่อเชื่อมต่อกับโซลาร์เซลล์จริงๆ
คุมเบ็ดเสร็จซื้อ-ขายไฟโซลาร์เซลล์
นอกจากการควบคุมอุปกรณ์ระบบโซลาร์เซลล์ การจำหน่ายและติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ที่ต้องอยู่ในกำกับและควบคุมของกระทรวงพลังงานแล้ว ในส่วนการซื้อ-ขายไฟโซลาร์เซลล์ทั้งที่รัฐบาล กกพ. และ กฟผ. ดำเนินการไปก่อนหน้าและที่จะมีขึ้นในอนาคต ยังต้องขึ้นกับกระทรวงพลังงานด้วยเช่นกัน
โดยในมาตรา 17 การจำหน่ายหรือให้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากสถานที่ติดตั้งจะกระทำมิได้ เว้นแต่เป็นการจำหน่ายหรือให้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แก่การไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือองค์กรอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด หรือแก่บุคคลที่อยู่อาศัยหรือประกอบกิจการในสถานที่ติดตั้งตามหลักเกณฑ์วิธีการ และอัตราค่าไฟฟ้าที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี
การจำหน่ายหรือให้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แก่การไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือองค์กรอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
ต่อไปการประกาศรับซื้อไฟโซลาร์เซลล์ หรือการจำหน่ายไฟโซลาร์เซลล์ที่เคยอยู่ในอำนาจของ กกพ.-กฟผ.ได้ถูกกระทรวงพลังงานรุกคืบเข้ามามีอำนาจเบ็ดเสร็จ แม้กระทั่งการซื้อขายไฟฟ้าเสรีในอนาคตโดยเฉพาะนโยบายซื้อขายไฟพลังงานสีเขียว พลังงานสะอาด PPA ไม่อาจจะกระทำได้อีก แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงพลังงานเท่านั้น
“เป็นการให้อำนาจรัฐมนตรีพลังงานอย่างครอบจักรวาลหรือไม่ ทั้งอำนาจในการออกใบอนุญาตติดตั้งโซลาร์เซลล์ อำนาจในการกำหนดสถานที่ติดตั้ง ประกาศลักษณะของ “สถานประกอบกิจการ” แม้กระทั่งอุปกรณ์ระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ ก็ให้อำนาจรัฐมนตรีพลังงานเป็นผู้กำหนดว่าอุปกรณ์ใดเป็นหรือไม่เป็นอุปกรณ์ระบบโซลาร์เซลล์
“การให้อำนาจครอบคลุมเช่นนี้ ทำให้เกิดข้อกังขาตามมาว่า จะกลายเป็นช่องให้มีการ “ตั้งโต๊ะ-เรียกรับผลประโยชน์” หรือไม่ ใครที่อยากซื้อหรือขายไฟจะโดยตรง หรือต้องทำตามนโยบายรัฐในการเปิดเสรีไฟฟ้า PPA อาจต้องจ่ายค่า “ผ่านทาง” ให้แก่พลังงานจึงจะทำได้
ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังอาจขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญฯ อันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศด้วยอีก เนื่องจากมีการบัญญัติให้อำนาจกับเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ที่ รมว.พลังงาน “แต่งตั้ง” สามารถเข้าไปในเคหสถานรวมถึงบ้านพักได้ หากมีการแจ้งเหตุว่าอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้
คงจะถอดแบบมาจากอำนาจตาม พ.ร.บ.โรงงานของกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีการแต่งตั้ง “ชุดปฏิบัติการสุดซอย” ที่มีอำนาจบุกเข้าไปตรวจค้นเคหสถาน หรือสถานประกอบกิจการ โรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องสงสัยว่ามีการกระทำการขัด พ.ร.บ.โรงงานอุตสาหกรรม แต่ปัญหาที่จะตามมาก็คือ อาจมีการใช้กฎหมายนี้ในการกลั่นแกล้งแจ้งความเท็จเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปรื้อถอนโซลาร์เซลล์ได้โดยดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้มีการใช้ดุลยพินิจได้อย่างเสรี จนเกินขอบเขต
“การที่กฎหมายเปิดช่องให้มีการบุกรุกเข้าไปในอาคารและเคหะสถานได้ย่อมขัดกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ ที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของบุคคล แต่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ถือเป็นการลิดรอนหรือจำกัดสิทธิดังกล่าวลงทำให้กฎหมายฉบับนี้ขัดต่อหลักการของรัฐธรรมนูญ”
หวั่นเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ทางการเมือง
นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท นิวเอ็นเนอร์จี พลัสโซลูชั่นส์ จำกัด (NEPS) ผู้เชี่ยวชาญด้านโซลาร์เซลล์ของเมืองไทย ได้ให้ความเห็นต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ว่า
ในฐานะที่ประกอบอาชีพธุรกิจรับติดตั้งโซลาร์ วันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุปสรรคเรื่องของใบอนุญาตนั้น เป็นปัญหาใหญ่ และสมควรได้รับการแก้ไขโดยด่วน เพราะมีหลากหลายหน่วยงาน และบางหน่วยงานก็มีความล่าช้า ทำให้เป็นที่มาของเรื่องคอร์รัปชัน ส่งผลให้เป็นอุปสรรคต่อผู้ทำธุรกิจและประชาชนผู้สนใจติดตั้งโซลาร์ จึงได้แต่หวังว่า พ.ร.บ.ส่งเสริมโซลาร์ฉบับนี้จะเป็นฮีโร่ของประชาชนที่อยากติดตั้งโซลาร์รูฟ แต่มันกลับกลายเป็นสิ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง
เพราะเมื่อได้เข้ามาอ่านร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมโซลาร์โดยละเอียดกลับพบว่ากฎหมายฉบับนี้กำลังตกเป็น “เครื่องมือทำมาหากินของนักการเมือง“ เพราะร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมโซลาร์เซลล์ฉบับนี้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน “ใหญ่คับฟ้า” สามารถกำหนดทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว อาทิ
- ให้ รมว.พลังงานสามารถออกระเบียบ หลักเกณฑ์ กำหนดสถานที่ติดตั้งโซลาร์ นอกเหนือจากที่อยู่อาศัยหรือสถานประกอบกิจการ
- ให้ รมว.พลังงานมีอำนาจในการกำหนดอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์
- ให้ รมว.พลังงานสามารถกำหนดองค์กรที่จะทำการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า (นอกจากการไฟฟ้าฯ) เช่น เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง ซึ่งเป็นการเพิ่มขั้นตอนที่ยุ่งยาก และอาจเสี่ยงต่อการคอร์รัปชัน
- ให้ รมว.พลังงานมีอำนาจประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ประกอบการและขายให้องค์กรหรือบุคคลตามที่รัฐมนตรีกำหนด ซึ่งเป็นการเสี่ยงต่อการคอร์รัปชัน ฉ้อราษฎร์บังหลวง และเป็นการให้อำนาจฝ่ายการเมืองมากเกินไป โดยไม่มีการตรวจสอบและถ่วงดุล
- ให้ รมว.พลังงานมีอำนาจกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่จะรับซื้อ
นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังเพิ่มอำนาจให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทน (พพ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงพลังงานอีกด้วย เพราะผู้ที่จะติดตั้งโซลาร์เซลล์ทุกคนต้องแจ้งความประสงค์ก่อนติดตั้งโซลาร์กับอธิบดีล่วงหน้า 30 วัน และปฏิบัติตามประกาศและหลักเกณฑ์ของอธิบดีและรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้ ก็สามารถให้ “พนักงานเจ้าหน้าที่ที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง” มีอำนาจในการรื้อถอนได้ โดยเจ้าของสถานที่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนตามที่รัฐจะเรียกเก็บด้วย!
“การติดตั้งโซลาร์ในยุคนี้มันควรจะเป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับประชาชนเพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีในการประหยัดค่าไฟได้ง่าย แต่นี่กลับสวนทาง โดยเป็นการเพิ่มภาระให้ประชาชนทำสิ่งที่ปัจจุบันยากอยู่แล้วให้เป็นสิ่งที่ยากขึ้นไปอีก และสุ่มเสี่ยงไปด้วยเรื่องคอร์รัปชันที่อาจตามมา ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าผู้ร่างกฎหมายฉบับนี้ ได้รับใบสั่งจากใครมาหรือไม่ และมีเจตนาอะไร เพื่อใครหรือไม่ แต่พฤติการณ์ของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้นั้นค่อนข้างแน่ชัด ว่าเป็นอุปสรรคต่อประชาชน และผลประโยชน์ของชาติ”
สืบจากข่าว รายงาน