
(กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 31/2568) กสม. ตรวจสอบกรณีร้องเรียนว่าเทศบาลตำบลตลาดขวัญ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ละเลยให้มีการขุดดินจนส่งผลกระทบต่อที่ดินแปลงข้างเคียง ระบุหน่วยงานแก้ไขปัญหาตามกฎหมายแล้ว – ประสานการคุ้มครองกรณีผลกระทบจากการจัดการแข่งขันรถยนต์บางแสนกรังด์ปรีซ์ แนะเทศบาลเมืองแสนสุขรับฟังความเห็นรอบด้านและสำรวจผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม – ปธ.กสม. มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีทบทวนการรื้อฝายเก่าแก่ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมใน จ.เชียงใหม่ แนะพิจารณาทางเลือกอื่นในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างเป็นระบบ
วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน 2568 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายภาณุวัฒน์ ทองสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 31/2568 โดยมีวาระสำคัญดังนี้
- กสม. ตรวจสอบกรณีร้องเรียนว่าเทศบาลตำบลตลาดขวัญ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ละเลยให้มีการขุดดินจนส่งผลกระทบต่อที่ดินแปลงข้างเคียง ระบุหน่วยงานแก้ไขปัญหาตามกฎหมายแล้ว
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 จากผู้ร้องรายหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในพื้นที่ตำบลตลาดขวัญ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า เทศบาลตำบลตลาดขวัญ (ผู้ถูกร้องที่ 1) ออกใบอนุญาตขุดดินในที่ดิน 4 แปลง ที่ระดับความลึก 10 เมตร ให้กับผู้ขุดดินรายหนึ่งซึ่งมีที่ดินแปลงหนึ่งติดกับที่ดินของผู้ร้อง ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2567 ถึง 13 มกราคม 2568 ตามพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 โดยการขุดดินในแปลงที่ดินแปลงซึ่งติดกับที่ดินของผู้ร้อง มีระยะปากบ่อที่ขุดห่างจากแนวเขตที่ดินของผู้ร้องเพียง 16 เมตร ซึ่งน้อยกว่าระยะห่างตามที่กฎหมายกำหนดว่าต้องมีระยะห่างเป็นสองเท่าของความลึกที่ได้รับอนุญาต กล่าวคือ ต้องมีระยะห่างอย่างน้อย 20 เมตร โดยผู้ร้องระบุว่าตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ได้ร้องเรียนต่อเทศบาลตำบลตลาดขวัญ ให้แจ้งผู้ขุดดินแก้ไขหลายครั้ง แต่ไม่ดำเนินการใด ๆ จนกระทั่งเดือนกันยายน 2567 ดินในแปลงของผู้ร้องสไลด์ลงบ่อขุดดินแปลงของผู้ขุดดินทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย ต่อมาเทศบาลฯ ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อสถานีตำรวจภูธรดอยสะเก็ด (สภ.ดอยสะเก็ต) (ผู้ถูกร้องที่2) ให้ดำเนินคดีกับผู้ขุดดิน แต่คดีไม่มีความคืบหน้า ผู้ร้องเห็นว่าหน่วยงานผู้ถูกร้องทั้งสอง ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รับรองสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล สิทธิของบุคคลในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติตามวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ รวมทั้งสิทธิของบุคคลในการเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ต่อหน่วยงานของรัฐและได้รับแจ้งผลการพิจารณาโดยเร็ว โดยที่การขุดดินเป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในทรัพย์สินของบุคคลซึ่งต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 และหน่วยงานรัฐมีหน้าที่กำกับดูแลการขุดดินให้เป็นไปตามกฎหมาย สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ที่กำหนดให้รัฐภาคีดำเนินมาตรการทางกฎหมายเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรที่มีอยู่
กรณีตามคำร้องมีประเด็นที่ต้องพิจารณาแยกเป็น 2 ประเด็น ประเด็นแรก เทศบาลตำบลตลาดขวัญ ผู้ถูกร้องที่ 1 ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายทำให้มีการขุดดินจนส่งผลกระทบต่อที่ดินของผู้ร้องหรือไม่ จากการตรวจสอบปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจตั้งแต่การออกใบอนุญาตขุดดินให้กับผู้ขุดดิน ตรวจสอบ ควบคุมกำกับการขุดดินให้ถูกต้องตามแบบที่ได้รับอนุญาต ติดตามและประสานกับผู้ขุดดินและผู้ปฏิบัติงานหน้าบ่อขุดดินอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีคำสั่งให้ผู้ขุดดินแก้ไขระยะห่างและซ่อมแซมดินสไลด์ที่ปากบ่อให้เป็นไปตามกฎหมาย และเมื่อไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการ เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้มีคำสั่งให้หยุดการขุดดินทั้ง 4 แปลง และสั่งให้จัดการแก้ไขรวมทั้งมีมาตรการป้องกันการพังทลายของปากบ่อในระยะเวลาที่กำหนด ต่อมาปลายเดือนกันยายน 2567 เมื่อได้รับแจ้งจากผู้ร้องว่า ดินในที่ดินของผู้ร้องสไลด์ลงไปในบ่อดินแปลงของผู้ขุดดินรายดังกล่าว ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้ไปตรวจสอบ และสั่งให้ซ่อมแซมหน้าบ่อดินโดยทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดดินสไลด์เพิ่ม แต่ผู้ขุดดินไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ผู้ถูกร้องที่ 1 จึงไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ สภ.ดอยสะเก็ด ผู้ถูกร้องที่ 2 ให้ดำเนินคดีอาญากับผู้ขุดดิน โดยพิจารณาโทษเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 80,000 บาท เมื่อผู้ขุดดินไม่มาชำระตามกำหนด ผู้ถูกร้องที่ 1 จึงได้มีหนังสือถึงผู้ถูกร้องที่ 2 ให้เรียกผู้ขุดดินมาชำระค่าปรับ ต่อมาเมื่อผู้ขุดดินได้แก้ไขระยะห่างและซ่อมแซมปากบ่อบริเวณที่ติดกับที่ดินของผู้ร้องและถมดินตลอดแนวเขตทำให้ที่ดินที่ติดกับบ่อดินมีความปลอดภัยมากขึ้น จึงได้พิจารณาลดค่าปรับเหลือ 30,000 บาท ซึ่งผู้ขุดดินได้ชำระค่าปรับแล้ว
นอกจากนี้ ภายหลังเมื่อมีการขายที่ดินแปลงที่ขุดบ่อให้กับเจ้าของที่ดินรายใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 1 ยังได้ประสานให้ซ่อมแซมที่ดินของผู้ร้องบริเวณที่เสียหายและเจ้าของที่ดินรายใหม่ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว โดยได้แจ้งผลการดำเนินการให้ผู้ร้องทราบเป็นระยะ และยังให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ร้องตามหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนโดยใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ประเด็นที่สอง สภ.ดอยสะเก็ต ผู้ถูกร้องที่ 2 มีการกระทำหรือละเลยการกระทำในการอำนวยความยุติธรรมในคดีอาญาหรือไม่ เห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้รับคำร้องทุกข์กล่าวโทษจากผู้ถูกร้องที่ 1 ให้ดำเนินคดีอาญากับผู้ขุดดิน และเมื่อได้รับแจ้งเพิ่มเติมว่า ผู้ขุดดินไม่ชำระค่าปรับตามที่ผู้ถูกร้องที่ 1 พิจารณาเปรียบเทียบปรับ ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้สืบสวน และออกหมายเรียกผู้ขุดดินให้มาพบพนักงานสอบสวนสองครั้ง ต่อมาเมื่อผู้ขุดดินได้ชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบปรับแล้ว คดีอาญาย่อมระงับสิ้นไป เห็นได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้ปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจในการอำนวยความยุติธรรมในคดีอาญาแล้ว ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 ละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน
“กรณีเรื่องร้องเรียนดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล ซึ่งหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่และอำนาจต้องให้ความคุ้มครองสิทธินั้น อันถือเป็นกรณีตัวอย่างของการจัดการและแก้ไขปัญหาข้อพิพาทอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย” นายวสันต์ กล่าว
