วันศุกร์, ตุลาคม 24, 2025
หน้าแรกข่าวประชาสัมพันธ์กสม. ตรวจสอบกรณีครูทำโทษเด็กนักเรียนชั้นประถมฯ เกินสมควรแก่เหตุ กระทบพัฒนาการระยะยาว แนะ สพป.ชัยภูมิ เร่งดำเนินการสอบสวนทางวินัย

Related Posts

กสม. ตรวจสอบกรณีครูทำโทษเด็กนักเรียนชั้นประถมฯ เกินสมควรแก่เหตุ กระทบพัฒนาการระยะยาว แนะ สพป.ชัยภูมิ เร่งดำเนินการสอบสวนทางวินัย

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ตรวจสอบกรณีครูประจำชั้นโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยภูมิ ลงโทษนักเรียน ป.5 อย่างรุนแรง ทั้งตี ตบ และจำกัดสิทธิ์เข้าห้องน้ำจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็ก เห็นเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน แนะสำนักงานเขตพื้นที่ฯ เร่งสอบสวนวินัยครู พร้อมตรวจสอบการละเลยของโรงเรียนที่อาจเข้าข่ายช่วยเหลือให้พ้นผิด

นางสาวหรรษา หอมหวล เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองรายหนึ่ง ระบุว่าบุตรซึ่งเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยภูมิ ถูกครูประจำชั้นทำโทษเกินกว่าเหตุ ทั้งตบ ตีท้ายทอย และใช้ไม้เรียวฟาดหลายครั้ง รวมถึงห้ามไม่ให้ออกจากห้องเรียนไปเข้าห้องน้ำนอกเวลาที่กำหนด ส่งผลให้เด็กต้องกลั้นปัสสาวะบ่อยครั้งจนกระทบสุขภาพ

นอกจากนี้ ครูรายดังกล่าวยังมักใช้น้ำเสียงและสายตาไม่เป็นมิตรกับนักเรียน รวมถึงเคยส่งภาพนักเรียน 15 คนในกลุ่มไลน์ผู้ปกครอง พร้อมข้อความให้มารับกลับบ้าน เพราะ “ไม่อยากเรียนและไม่ส่งงาน” สร้างความอับอายและกดดันทางจิตใจอย่างหนัก เด็กจึงเริ่มไม่อยากไปโรงเรียนและต้องเข้าพบจิตแพทย์เพื่อรักษาอาการทางจิตใจ

แม้ผู้ปกครองได้ร้องเรียนไปยังโรงเรียน แต่กลับไม่มีความคืบหน้า จึงยื่นเรื่องต่อ กสม. ให้ตรวจสอบเพิ่มเติม

กสม. พิจารณาจากข้อเท็จจริงและหลักสิทธิมนุษยชนแล้วเห็นว่า การลงโทษดังกล่าวขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ซึ่งระบุให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก ห้ามกระทำการใด ๆ ที่เป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจ อีกทั้งยังขัดต่อระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 ที่กำหนดให้ลงโทษได้เพียง 4 สถานเท่านั้น คือ ว่ากล่าวตักเตือน ทำทัณฑ์บน ตัดคะแนนความประพฤติ หรือทำกิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยห้ามใช้ความรุนแรงหรือกระทำด้วยอารมณ์โกรธพยาบาท

จากการสอบสวนพบว่า ครูประจำชั้นรายนี้ลงโทษนักเรียนจริง ทั้งตีด้วยมือและไม้เรียว รวมถึงกำหนดกฎให้นักเรียนทำงานให้เสร็จก่อนจึงจะเข้าห้องน้ำได้ ซึ่งส่งผลให้เด็กเกิดความกดดันสะสมจนต้องเข้ารับการรักษาทางจิตใจ ต่อมาครูได้เจรจาขอขมาและชดใช้ค่าเยียวยาแก่ผู้ปกครอง 2 ครั้ง พร้อมหนังสือขอโทษอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ตาม ผลสอบสวนของโรงเรียนกลับสรุปว่า “ไม่มีมูลความผิด” และยุติเรื่อง ทำให้ผู้ร้องเรียนยื่นเรื่องต่อสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2 (สพป.ชัยภูมิ เขต 2) ซึ่งได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนใหม่ และพบว่ามีมูลความผิดจริง จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ

กสม. เห็นว่า การกระทำของครูรายนี้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เด็กได้รับผลกระทบทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งอาจส่งผลต่อพัฒนาการและความสัมพันธ์ทางสังคมในระยะยาว แม้จะได้รับค่าเยียวยาแล้วก็ตาม

นอกจากนี้ การที่โรงเรียนสรุปผลสอบสวนว่าไม่มีมูลความผิด ทั้งที่มีพยานหลักฐานชัดเจน ถือเป็นการละเลยต่อหน้าที่ เข้าข่ายช่วยเหลือไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาถูกลงโทษทางวินัย อันขัดต่อพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 95

จากเหตุการณ์นี้ ที่ประชุม กสม. ด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 มีมติให้ข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

  1. ให้ สพป.ชัยภูมิ เขต 2 เร่งสอบสวนทางวินัยครูรายนี้โดยโปร่งใสและยุติธรรม พร้อมรายงานผลให้ผู้ร้องทราบโดยเร็ว และให้กำชับโรงเรียนในสังกัดใช้กลไกคณะกรรมการสถานศึกษาเฝ้าระวังความรุนแรงในโรงเรียน
  2. ให้โรงเรียนต้นสังกัดครูรายนี้ ทบทวนกระบวนการสอบสวนภายในให้โปร่งใส และเปิดโอกาสให้ตัวแทนผู้ปกครองหรือชุมชนร่วมตรวจสอบ เพื่อป้องกันความไม่เป็นธรรม
  3. ให้กระทรวงศึกษาธิการ จัดอบรมครูและบุคลากรทางการศึกษา เสริมทักษะด้านอารมณ์และการจัดการกับนักเรียน โดยไม่ใช้ความรุนแรงหรือสร้างกฎกดดันเด็ก

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts