การพบกันระหว่าง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เมืองปูซาน ของเกาหลีใต้ ในวันพฤหัสบดี (30 ต.ค.) ท่ามกลางความหวังของทั้งโลกว่า จะช่วยบรรเทาความตึงเครียดทางการค้าที่ยืดเยื้อมานานหลายเดือน
ทั้งสองฝ่ายมีหลายเรื่องที่ต้องคุยกัน ฝ่ายอเมริกาต้องการให้จีนกลับมาสั่งซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯอีกครั้ง หลังจากที่หยุดออเดอร์มาตั้งแต่ต้นปี 2025 รวมถึงหยุดควบคุมการส่งออกแร่หายาก
ในขณะที่จีนก็มีโจทย์ชัดเจนว่า ต้องการให้สหรัฐฯหยุดควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีระดับสูงไปจีน
และต้องไม่สนับสนุนเอกราชไต้หวัน
ก่อนการประชุมหนึ่งวัน จีนได้ย้ำจุดยืนอีกครั้งว่า จะไม่ตัดทางเลือกในการใช้กำลังทหารต่อไต้หวัน ซึ่งเป็นถ้อยแถลงที่มีความแข็งกร้าวกว่าในอดีต ที่จีนมักเน้นเรื่องการรวมชาติอย่างสันติ
การรวมชาติอย่างสันติภายใต้กรอบ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ยังคงเป็นแนวทางพื้นฐานของจีน โดยจีนจะดำเนินการทุกวิถีทางที่จำเป็น หากไต้หวันมีแนวโน้มประกาศเอกราชมากขึ้น
“เรามุ่งมั่นที่จะสร้างโอกาสสำหรับการรวมชาติอย่างสันติ และจะพยายามอย่างเต็มที่ด้วยความจริงใจ แต่เราจะไม่มีวันสละสิทธิ์ในการใช้กำลัง” รายงานระบุ
การที่จีนกลับมาเน้นย้ำเรื่องการรวมชาติอีกครั้ง ในช่วงก่อนการพบกันระหว่างปธน.ทรัมป์และปธน.สี แสดงให้เห็นว่า ประเด็นไต้หวันจะเป็นหัวข้อสำคัญในการหารือที่ปูซานครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวถาม ปธน.ทรัมป์ว่า ประเด็นไต้หวันจะอยู่ในวาระการประชุมหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า “ผมยังไม่แน่ใจว่าจะมีการพูดคุยเรื่องนี้กับประธานาธิบดีสีหรือไม่”
ทั้งนี้ คาดว่าการประชุมที่ปูซานครั้งนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ขณะที่ผู้นำทั้งสองพยายามสร้างสมดุลระหว่าง “การแข่งขันและความร่วมมือ” ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค
สีจิ้นผิงกล่าวว่า สันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน กับกิจกรรมแบ่งแยกดินแดนเพื่อ “เอกราชไต้หวัน” นั้น ไม่อาจไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ดั่งน้ำกับไฟ
ขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกว่าเป้าหมายที่เขาให้ความสำคัญลำดับต้นๆคือบรรลุข้อตกลงการค้าที่ยุติธรรมกับจีน อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธตอบคำถามว่าจะยอมสละแรงสนับสนุนของอเมริกาที่มีต่อไต้หวันหรือไม่
นอกจากคำกล่าวว่า “ผมอยากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน ผมชอบในความสัมพันธ์ระหว่างผมกับประธานาธิบดีสี เรามีความสัมพันธ์อันยอดเยี่ยม”



