
กสม. แฉรัฐบาลไทย–สภาความมั่นคงแห่งชาติ–สตม. ส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน ทั้งที่มีหลักฐานชัดเจนเสี่ยงถูกทรมานและสูญหาย เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน-ขัดกฎหมายห้ามผลักดันกลับ (non-refoulement) จี้เร่งตรวจเยี่ยมความปลอดภัย–เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ตรวจสอบกรณีรัฐบาลไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ร่วมกันส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับประเทศจีน เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ทั้งที่มีข้อมูลจากรายงานของสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) และแหล่งข่าวหลายฝ่ายยืนยันว่า ชาวอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกทรมาน การบังคับให้สูญหาย และการปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม ซึ่งอาจเข้าข่าย “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”
กสม. ระบุว่า การส่งตัวดังกล่าวมีพฤติการณ์ปกปิด ซ่อนเร้น และไม่ได้รับความยินยอมจากชาวอุยกูร์ ถือเป็นการละเมิด “หลักการห้ามผลักดันกลับ” (non-refoulement) อันเป็นหลักสากลที่ระบุไว้ในอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน (CAT) และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 13
จากการตรวจสอบพบว่า ชาวอุยกูร์กลุ่มนี้หลบหนีจากจีนเข้ามาในไทยตั้งแต่ปี 2557 โดยมีตุรกีเป็นประเทศปลายทาง ต่อมาปี 2558 ไทยได้ส่งกลับจีน 109 คน ส่งต่อไปตุรกี 173 คน และเหลืออีก 40 คนถูกกักตัวอยู่ที่สถานกัก สตม. สวนพลู ขณะที่อีก 5 คนถูกจำคุกในเรือนจำคลองเปรมจากการพยายามหลบหนี
ในคืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 เวลาประมาณ 02.00 น. มีขบวนรถบรรทุกติดฟิล์มดำหลายคันออกจากสถานกักฯ ท่ามกลางความสงสัยของเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชน ก่อนรัฐบาลไทยออกแถลงการณ์ยืนยันในเวลาต่อมาว่าได้ส่งชาวอุยกูร์กลับจีน “โดยสมัครใจ” และได้รับหนังสือรับรองจากรัฐบาลจีนว่าจะไม่ดำเนินคดีและดูแลอย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม กสม. ชี้ว่า ข้อเท็จจริงขัดแย้งกับคำชี้แจงของรัฐ เพราะชาวอุยกูร์ยืนยันไม่สมัครใจกลับประเทศต้นทาง และต้องการไปประเทศที่สามเพื่อขอลี้ภัย เนื่องจากเกรงอันตรายจากการทรมานหลังถูกส่งกลับ
กสม. เห็นว่า การส่งกลับครั้งนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เพราะรัฐบาลไทยไม่สามารถแสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ถึง “ความสมัครใจ” และ “ความปลอดภัย” ของผู้ถูกส่งกลับได้ อีกทั้งยังอาศัยเพียงคำรับรองจากรัฐบาลจีน โดยไม่ได้มีการตรวจสอบภาคสนามหรือเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส
แม้ภายหลังการส่งตัว รัฐบาลไทยจะอ้างว่ามีการติดตามตรวจสอบผ่านระบบประชุมออนไลน์ (Zoom) แต่เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ และอยู่ภายใต้การควบคุมของทางการจีน ทำให้ไม่สามารถยืนยันได้ว่าชาวอุยกูร์ได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรมและปลอดภัยจริง
กสม. จึงสรุปว่า การกระทำของหน่วยงานรัฐทั้งสามเข้าข่าย “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” และขัดต่อหลัก non-refoulement รวมถึงกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาประชาคมโลก โดยเฉพาะเมื่อไทยเพิ่งได้รับเลือกเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) วาระปี 2568–2570
1. ให้รัฐบาลไทย สมช. สตม. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงยุติธรรม ร่วมกัน “ติดตามตรวจเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับจีนอย่างต่อเนื่อง” และเผยแพร่ผลการตรวจสอบต่อสาธารณะ โดยเชิญหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น OHCHR, UNHCR, AICHR รวมถึงภาคประชาสังคมและสื่อมวลชน เข้าร่วมสังเกตการณ์เพื่อความโปร่งใส
2. ให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนการส่งตัวชาวอุยกูร์อีก 5 คน ที่ยังถูกคุมขังในไทย โดยต้องประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้าน คำนึงถึงหลัก non-refoulement และรับรองว่าการส่งกลับ (หากมี) ต้องเกิดขึ้นโดยสมัครใจเท่านั้น พร้อมเปิดเผยเอกสารรับรองจากรัฐบาลจีนต่อสาธารณะ
3. ให้ทุกหน่วยงานด้านความมั่นคงและตรวจคนเข้าเมืองยึดหลัก non-refoulement อย่างเคร่งครัดในการดำเนินการกับผู้ลี้ภัยหรือผู้แสวงหาที่พักพิง โดยควรพิจารณาทางเลือกอื่นนอกจากการกักขัง เช่น การให้ประกันตัว การทำงานบริการสังคม หรือการส่งต่อไปประเทศที่สาม
4. ให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ จัดทำ “แนวทางปฏิบัติงานมาตรฐาน” (SOP) ที่ชัดเจน เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติได้อย่างเป็นเอกภาพและสอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
กสม. ย้ำว่า “ไทยต้องไม่ผลักใครกลับสู่อันตราย” และการคุ้มครองผู้ลี้ภัยคือบททดสอบสำคัญต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความน่าเชื่อถือของประเทศในเวทีโลก.







