“…สะเทือนปทุมวัน! หลัง “รองโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ลั่นไกใส่รังเก่าตัวเองว่า “ตำรวจคือองค์กรอาชญากรรมใหญ่สุด” ล่าสุด พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตตำรวจมือปราบ ออกมาขยี้ซ้ำ ยืนยันคำพูดนี้คือ “ความจริง” ที่อาจจะน้อยเกินไปด้วยซ้ำ เพราะอาจเป็น “แก๊งอาชญากรที่ใหญ่ที่สุดในโลก” พร้อมตั้งคำถามเจ็บแสบถึง “ผู้นำสูงสุด” และ “ผบ.ตร. กิตติรัตน์” ว่ากำลังทำอะไรอยู่ หรือกลายเป็นส่วนหนึ่งของความชินชาที่กัดกินประเทศนี้ไปแล้ว?…”
“ตำรวจไทยในวันนี้คือองค์กรอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ”
วาทะเดือดนี้จากปากของ “รองโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ไม่เพียงแต่สร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วทั้งปฐพี “สีกากี” แต่ยังจุดชนวนให้ 4 องค์กรตำรวจ (สมาคมตำรวจ, สมาพันธ์ตำรวจ, ชมรมอาวุโส และองค์กรข้าราชการตำรวจ) ออกมาเคลื่อนไหวตั้งท่าเตรียมฟ้องร้อง “รองโจ๊ก” โทษฐานทำให้องค์กรเสื่อมเสียชื่อเสียง
แต่ในมุมมองของ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตนายตำรวจผู้คร่ำหวอดในวงการ ชี้ว่า “การฟ้องร้องนี้เป็นเพียง “ปาหี่” ที่ไร้น้ำยา”!
“เขาไม่ได้ฟ้องหรอกครับ ฟ้องไปศาลจะประทับฟ้องหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันไม่มีผู้เสียหาย เขาไม่ได้ระบุถึงใคร” พ.ต.อ.วิรุตม์ วิเคราะห์อย่างคมคาย “เขา (สุรเชษฐ์) เป็นอดีตรอง ผบ.ตร. เขาอยู่กับข้อมูลเหล่านี้มากกว่าผมด้วยซ้ำ เมื่อเขามาพูด มันก็มีน้ำหนักกว่า”
พ.ต.อ.วิรุตม์ ยืนยันว่าคำพูดของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ใช่เรื่องเกินจริง “ผมว่ามันยังไม่ถูกด้วย มันน่าจะเป็นแก๊งอาชญากรที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยซ้ำ”!?!
🔍 ชำแหละระบบ “ชินชา” จากนายถึงพล
ประเด็นที่ พ.ต.อ.วิรุตม์ ชี้ให้เห็น ไม่ใช่แค่การทุจริตของปัจเจกบุคคล แต่คือ “ความชินชาต่ออาชญากรรม” ที่ฝังรากลึกในหมู่ตำรวจผู้ใหญ่ จนแยกไม่ออกระหว่าง “สิ่งที่ทำจนชิน” กับ “การกระทำผิดกฎหมาย”
“ผบ.ตร. (พล.ต.อ.กิตติ์รัตน์) เขาไม่ได้คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอาชญากรรมมั้ง?”
พ.ต.อ.วิรุตม์ ตั้งข้อสังเกตอย่างดุดัน “การตั้งด่านรีดไถ เก็บส่วย หวยใต้ดิน บ่อนพนัน รถบรรทุกผิดกฎหมาย เขาเก็บกันจนชิน จนเขาไม่ได้คิด หรือไม่ได้ฉุกคิดว่ามันผิดกฎหมาย มีโทษร้ายแรง”
พ.ต.อ.วิรุตม์ อธิบายว่า แม้การกระทำเหล่านี้จะผิดกฎหมายอาญา มาตรา 149 (เจ้าพนักงานรับสินบน) ซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต แต่ในทางปฏิบัติ มันกลายเป็น “ธรรมเนียม” ที่ถูกยอมรับ
เปิดวงจร “สินบนแปรรูป” ส่วยมาตรฐานทุกโรงพัก
พ.ต.อ.วิรุตม์ ได้เปิดโปงกลไกการส่งส่วยที่เรียกว่า “สินบนแปรรูป”
- ส่วยมาตรฐาน: ทุกสถานีตำรวจมี “ส่วยพื้นฐาน” ที่ต้องเก็บ ทั้งหวยใต้ดิน, รถบรรทุก, คาราโอเกะ, บ่อนการพนัน และที่น่าเจ็บปวดคือ “ตู้แดง” ที่บีบให้ผู้ประกอบการ (โรงแรม, รีสอร์ต, โรงงาน) ต้องจ่ายรายเดือน 1,000-3,000 บาท แลกกับการตรวจตรา ทั้งที่เป็นหน้าที่ปกติ หากไม่ยอมจ่าย ก็จะถูก “ก่อกวน” ตรวจต่างด้าว หรือตรวจบัตรจนทำมาหากินไม่เป็นสุข
- สินบนแปรรูป: เงิน “สินบน” ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเก็บมา เมื่อจะส่งให้ “นาย” (ผู้บังคับบัญชา) จะถูกแปรรูปเป็น “ค่ากาแฟ” หรือ “ช่วยค่าใช้จ่าย” เพื่อให้ผู้รับไม่รู้สึกว่ากำลังรับสินบน
- วันส่งส่วยใหญ่: พ.ต.อ.วิรุตม์ แฉว่า “วันประชุมประจำเดือน” ของกองบัญชาการ คือ “วันส่งส่วยใหญ่” ของเหล่าผู้กำกับสถานี การเรียกประชุมจึงมักเป็นเพียงข้ออ้าง เพื่อให้ผู้กำกับเดินทางหลายร้อยกิโลฯ มา “พบ” และ “ส่งส่วย”
กองทุนสืบสวน: งบแผ่นดินที่กลายเป็น “เงินกินเปล่า”
ไม่เพียงแค่ส่วยจากนอกระบบ ปมก่อนหน้าที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เดินหน้าแฉรายวันว่า “เงินสืบสวนปราบปราม หายไปกลางทาง” ซึ่ง พ.ต.อ.วิรุตม์ ยืนยันว่า “คือเรื่องจริง”โดยเฉพาะ “กองทุนสืบสวนสอบสวน” ที่ส่งให้โรงพักเดือนละ 80,000 ถึง 100,000 บาท
“มันเข้ากระเป๋าผู้กำกับหมดแหละ มาตรฐานเลย 50%” พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าว “บางทีก็ไม่ได้สืบอะไร สร้างสตอรี่ขึ้นมา เมกกันขึ้นมา แพ็กเข้ากระเป๋าไป นี่คืออีกหนึ่งในแรงจูงใจที่คนแย่งเป็นผู้กำกับสถานีตำรวจ”
เมื่อ “ผู้นำ” ไม่เห็นปัญหา?
พ.ต.อ.วิรุตม์ มองว่า ปัญหาทั้งหมดแก้ได้โดยคน 2 คน คือ นายกรัฐมนตรี และ ผบ.ตร. แต่ ผบ.ตร. คนปัจจุบัน “เขาไม่เห็นว่าเป็นปัญหาอะไรนี่”
ส่วนการที่ผู้นำตำรวจออกมาโปรโมตการจับผู้ร้ายปล้นทองคนเดียว พ.ต.อ.วิรุตม์ มองว่า “น่าเวทนา” และ “ตื้นเขิน” เป็นการพยายามขายจุดเล็กๆ เพื่อกลบความเน่าเฟะทั้งระบบ
“ผมท้าเลย โรงพักทั่วไทย ถ้าที่ไหนไม่มีการเก็บส่วย ไม่มีการส่งส่วยเลย… ช่วยแจ้งมาหน่อย ถ้าตรวจสอบแล้วไม่มีจริง เดี๋ยวจะไปกราบ” พ.ต.อ.วิรุตม์ ทิ้งระเบิด “ผมให้เวลาถึง 30 พฤศจิกายน ถ้าไม่มีใครแจ้งมา ถือว่าไม่มีโรงพักไหนที่ไม่มีการเก็บส่วย”
ข้อหาที่ใหญ่กว่าส่วย: แบ่งเงิน 50 ล้าน และ อดีตนายกฯ
การแฉของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังลามไปถึงระดับมหภาค:
- คดี 50 ล้าน: อ้างว่ามี “อดีต ผบ.ตร.” มาเจรจาขอแบ่งเงิน 100 ล้านบาท จากคดี “ศูนย์เหรียญ” (?) ให้แบ่งกันคนละครึ่ง (50 ล้าน) เพื่อแลกกับการยุติคดี พ.ต.อ.วิรุตม์ ชี้ว่า นี่คือความผิดอาญาฐานรับสินบนชัดเจน ผู้ที่ได้ยิน (เช่น คุณอนุทิน) ต้องหูผึ่ง และเริ่มสอบสวนทันที
- อดีตนายกฯ หญิง: การพาดพิงถึงอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงว่าอาจเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ ประเด็นนี้ พ.ต.อ.วิรุตม์ กลับมองว่าน่ารำคาญ “เบื่อไอ้ตัวย่อเหลือเกิน… ถ้ามีหลักฐานก็พูดชื่อออกมาเลย” การกั๊กไว้สะท้อนว่า “ไม่รู้จริง” หรือ “เก็บไว้แบล็กเมล์”
เมื่อคนแฉถูกยัดข้อหา!?
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในวงจรนี้ คือการใช้อำนาจสอบสวนในทางที่ผิด พ.ต.อ.วิรุตม์ ชี้ว่า กระบวนการยุติธรรมไทย ละเลยหลัก “สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์” (Presumption of Innocence) ตำรวจไทยมีอำนาจมากในการ “ยัดข้อหา” และ “ค้านประกัน” ทำให้คนบริสุทธิ์ต้องติดคุก (กว่า 7-80,000 คนทั่วประเทศ)
ขนาด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่เป็นอดีตรอง ผบ.ตร. “พูดแค่นี้ยังโดนยัดข้อหา”
“สืบจากข่าว” ตั้งคำถามว่า ถ้าขนาดนายพลยังถูกจัดการเช่นนี้ แล้วประชาชนตาดำๆ ที่กล้าลุกขึ้นมาแฉเรื่องบ่อนพนัน หรือส่วยรถบรรทุกในพื้นที่ของตน จะเหลือความปลอดภัยอะไร?
เหตุใดนายกรัฐมนตรีจึงดูเหมือน “ไม่เข้าใจ” ปัญหา และ ผบ.ตร. จึง “ไม่ตระหนัก” ถึงความรู้สึกของประชาชนที่คอมเมนต์ด่าตำรวจนับร้อยนับพันในโลกออนไลน์
หรือระบบส่วยและ “สินบนแปรรูป” นี้ มันใหญ่เกินกว่าที่ ผบ.ตร. จะจัดการได้… หรือมันได้กลายเป็น “อาชญากรรมที่ถูกทำให้ชิน” ไปแล้วจริงๆ?
#สืบจากข่าว รายงาน



