“ประเทศจีนพัฒนาก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรมพลังงานใหม่อย่างมาก มีบริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีความเชื่อมั่นที่จะร่วมลงทุนและประกอบธุรกิจในประเทศไทยในสาขาต่างๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า โซเดียมแบตเตอรี่โซล่าเซลล์ เทคโนโลยีประหยัดพลังงานอัจฉริยะ เทคโนโลยี Fuel Cell พลังงานไฮโดรเจน ระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ ลิเธียมแบตเตอรี่ รีไซเคิลแบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ ไบโอเชื้อเพลิงระดับนาโน พร้อมส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาบุคคลากรด้านพลังงานใหม่ระหว่าง2ประเทศ ในวาระ 50ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน“
นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบัน FKII Thailand และผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในฟอรั่ม “พลังงานใหม่ จีน-ไทย“ (China-Thai New Energy Forum) ณ TVA Hall สวนเสียงไผ่ โดย TVA China Venture ในเครือ TVA Corporation (สถาบันทิวา) ผลักดันบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนด้านพลังงานใหม่ของอาเซียน ผ่านเวทีการหารือเชิงลึกระหว่างภาคธุรกิจไทยและจีน ร่วมกับ New Energy Huangpu (ประเทศจีน) ที่มี Julia Zhu Lina เป็นประธาน บรรลุข้อตกลงความร่วมมือระหว่างไทยและจีน ในการเชื่อมโยงธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต
นายอลงกรณ์ กล่าวภายใต้หัวข้อ “อุตสาหกรรมพลังงานใหม่ :โอกาส ความท้าทาย และความร่วมมือของบริษัทพลังงานใหม่ในประเทศไทย” ตอกย้ำถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (BIG TRANSFORMATION) โดยระบุว่าอุตสาหกรรมพลังงานใหม่จะเป็น “เครื่องยนต์ใหม่” ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ โดยปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนเป้าหมายนี้คือ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP ฉบับร่างใหม่) กำหนดเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้า 51% ภายในปี 2037
นายอลงกรณ์ ได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายระดับชาติของไทยในการรับมือกับภาวะโลกเดือด (Global warming) โดยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อย 40% ภายในปี 2030 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (CARBON NEUTRALITY) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (NET ZERO EMISSIONS) ภายในปี 2065
ปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนเป้าหมายนี้คือ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP ฉบับร่างใหม่) ต้องกำหนดเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดในการผลิตไฟฟ้า 51% ภายในปี 2037 ด้วยพิมพ์เขียว 10 เทคโนโลยีพลังงานใหม่ ได้แก่
1.ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และโครงสร้างพื้นฐาน การผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ในภูมิภาค พร้อมการลงทุนสถานีชาร์จสาธารณะที่ปัจจุบันมีหัวชาร์จรวมกว่า 11,467 หัวชาร์จ
2.ระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (BESS) เทคโนโลยีสำคัญที่มีเป้าหมายในร่าง PDP 2024 สูงถึง 10,485 เมกะวัตต์
3.พลังงานแสงอาทิตย์ การสนับสนุนโซลาร์ลอยน้ำ (Floating Solar) และโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) รวมถึงการผลักดัน Direct PPA สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ไฟฟ้าสะอาดเพื่อการส่งออก (RE100)
4.พลังงานไฮโดรเจน กำหนดให้มีการเริ่มใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนผสมกับก๊าซธรรมชาติ (CO-FIRING) ตั้งแต่ปี 2030 เพื่อลดคาร์บอนในโรงไฟฟ้าเดิม
5.เทคโนโลยี Smart Grid และ VPP การอัปเกรดโครงข่ายไฟฟ้าให้รองรับการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ และโมเดล Virtual Power Plant (VPP)
6.เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) และ SAF ไทยมีความพร้อมในการผลิตไบโอดีเซลและเอทานอล รวมถึงเชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (SAF) จากวัตถุดิบ เช่น น้ำมันพืชใช้แล้ว (UCO)
7. อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เปิดโอกาสในการลงทุนผลิตชิ้นส่วน POWER SEMICONDUCTORS ที่จำเป็นสำหรับอินเวอร์เตอร์ของ BESS และสถานีชาร์จเร็ว
8.เทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ จัดตั้งโรงงานรีไซเคิลแบตเตอรี่อย่างทั่วถึง
9.เทคโนโลยี Fuel Cell เป็นโอกาสสำคัญในการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ และการใช้งานในภาคการขนส่งหนัก เช่น รถบรรทุกและรถโดยสารขนาดใหญ่
10. เทคโนโลยีประหยัดพลังงานอัจฉริยะ (Energy-saving Technologies) เช่นระบบระบายความร้อน (Cooling Systems) ใน Data Center ระบบควบคุมอัจฉริยะด้านความร้อน (Thermal Field Intelligent Control) และโซลูชัน AI และ IoT เพื่อควบคุมและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
นายอลงกรณ์ สรุปในตอนท้ายว่า กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการสร้างระบบนิเวศพลังงานใหม่มั่นคงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมช่วยลดก๊าซเรือนกระจกคือ “การร่วมมือ การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน และการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง” ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของไทยและหุ้นส่วนทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ




