หอการค้าไทย-จีน สำรวจความคิดเห็นกลุ่มนักธุรกิจจีนในไทย ลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ มองไทยเผชิญความเสี่ยงสองด้าน คือ ความเสี่ยงจากความไม่มั่นคงทางการเมือง และ ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก แต่สามารถกลับมาพลิกฟื้นได้ในปี 2569 หากมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี โดยเฉพาะการเร่งผลักดัน 3 มาตรการ คือ การท่องเที่ยว การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการเจรจาเปิดเสรีทางการค้า จะเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ในระยะยาว
ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ประจำไตรมาส 1/2569 ซึ่งสำรวจวันที่ 20 พฤศจิกายน ถึง 9 ธันวาคม 2568 โดยผู้ให้ข้อมูลการสำรวจ ประกอบด้วย (1) ประธานคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และคณะกรรมการหอการค้าไทย-จีน (2) ประธานและกรรมการสมาชิกสมาคมต่างๆของสหพันธ์หอการค้าไทย-จีน และ (3) กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ของหอการค้าไทย-จีน จำนวน 453 คน ต่อประเด็นครอบคลุมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจช่วงสิ้นปี 2568 และคาดการณ์ปี 2569
สำหรับสถานการณ์ที่สำคัญในปี 2568 คือการที่สหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีศุลกากรกับนานาประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้า และมีเป้าหมายหลักคือการลดการนำเข้าสินค้าจีน ทำให้สินค้าจีนได้ถูกระบายออกขายในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น จากการสำรวจของหอการค้าไทย-จีน พบว่าร้อยละ 51.7 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้รับรู้หรือรู้สึกได้ว่าสินค้าจีนได้ส่งออกมายังประเทศไทยมากขึ้น หลังจากที่สหรัฐอเมริกาประกาศสงครามการค้ากับประเทศจีน แต่ร้อยละ 21.6 ของผู้ตอบแบบสำรวจ ให้ความเห็นว่าปริมาณสินค้าจากจีนนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
ขณะที่การประชุมสุดยอดอาเซียน 2025 ที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพ ไทยได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจในเรื่องแร่หายากกับสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 42 ของผู้ตอบแบบสำรวจมีความเห็นกังวลในการลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เพราะขาดความชัดเจน ในขณะที่ร้อยละ 42.6 ให้ความเห็นว่าเป็นเพียงบันทึกความเข้าใจ สามารถจะยกเลิกได้ จึงไม่กังวลในการลงนามดังกล่าว ดังนั้นภาพรวมกล่าวได้ว่าการเจรจาทวิภาคีระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกานั้น คงยังต้องรอการประเมินผลกระทบหลังจากที่มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น
เมื่อสอบถามความเห็นเกี่ยวกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส ที่ใช้เงินงบประมาณ 44,000 ล้านบาท โดยมีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์ 20 ล้านคน การสำรวจของหอการค้าไทย-จีน พบว่า ร้อยละ 56 เห็นว่าโครงการคนละครึ่งพลัสจะมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ได้เป็นอย่างมาก และร้อยละ 14.7 เห็นว่าโครงการดังกล่าวจะกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายได้ดีเป็นอย่างมากที่สุด กล่าวโดยสรุปได้ว่าหอการค้าไทย-จีน สนับสนุนโครงการคนละครึ่งพลัสอย่างเต็มที่
นอกจากนโยบายระยะสั้นในโครงการคนละครึ่งพลัสแล้ว ยังมีมาตรการในโครงการ Quick Big Win อีกหลายมาตรการ ผู้ตอบแบบสำรวจหอการค้าไทย-จีนลงความเห็นว่า หากต้องเลือกโครงการที่สำคัญและผลักดันให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยมากที่สุด มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว มาตรการเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมาตรการเร่งเจรจาเปิดเสรีทางการค้า ตามลำดับ เป็นสามมาตรการหลักที่ควรเร่งผลักดันให้บรรลุผล
สำหรับการคาดการณ์ปี 2569 ผู้ตอบแบบสำรวจมองเศรษฐกิจไทยว่า ไตรมาสที่สี่ของปีนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนและพลิกฟื้นให้เติบโตต่อเนื่องในปี 2569 โดยร้อยละ 40.7 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่อเนื่องไปได้ในระยะสั้น เป็นเวลาช่วงไม่เกินหกเดือน แต่ร้อยละ 33.4 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเจริญเติบโตต่อเนื่องได้มากกว่าหกเดือน ผู้ตอบแบบสำรวจลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญความเสี่ยง 2 ประการหลัก ในปี 2569 คือความเสี่ยงจากความไม่มั่นคงทางการเมือง และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก กล่าวได้ว่าเศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาพลิกฟื้นได้ในปี 2569 หากภาคธุรกิจมีการบริหารความเสี่ยงที่ดีจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และหากภาวะทางการเมืองลงตัวก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ในระยะยาว



