



“เนวินเถื่อน” หรือ นายธนภัทร คำปันพรม อดีตจำเลยคดีข่มขืนสาวจีน เดินหน้ายื่นเรื่องร้องกองปราบ หลังศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้องเพราะหลักฐานไม่ชัด จนได้รับอิสรภาพหลังถูกคุมขังฟรีกว่า 1 ปี 3 เดือน เตรียมดำเนินคดีหญิงคู่กรณีฐานแจ้งความเท็จ
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 22 ธันวาคม 2568 ที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายธนภัทร คำปันพรม หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เน” หรือ “เนวินเถื่อน” อายุ 35 ปี เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม เพื่อร้องขอความเป็นธรรมและแจ้งความดำเนินคดีกับหญิงชาวจีนคู่กรณีในข้อหา “แจ้งความเท็จ” หลังศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้อง และคดีสิ้นสุดโดยไม่มีการอุทธรณ์
นายธนภัทรเปิดเผยว่า ตนถูกคุมขังในเรือนจำเป็นเวลากว่า 1 ปี 3 เดือน ก่อนศาลจะมีคำพิพากษาในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ตามคดีหมายเลขดำที่ อ.2607/2567 และหมายเลขแดงที่ อ.2303/2568 โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีข้อสงสัยตามสมควร ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริง
ศาลระบุว่า จากภาพวงจรปิดพบฝ่ายหญิงเดินออกจากโรงแรมด้วยท่าทีปกติ ไม่มีอาการหวาดกลัวหรือร้องขอความช่วยเหลือ ขณะที่เงินสด 6,000 บาทที่อ้างว่าหาย ศาลเชื่อว่าอาจถูกใช้จ่ายไปก่อนหน้านี้ในระหว่างเที่ยวสถานบันเทิง จึงมีคำพิพากษา “ยกฟ้อง” และปล่อยตัวในเย็นวันเดียวกัน
นายธนภัทรเล่าย้อนว่า คืนเกิดเหตุได้พบหญิงชาวจีนบริเวณหน้าผับ โดยฝ่ายหญิงเป็นผู้เข้ามาทักก่อน ทั้งคู่พูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษและตกลงไปพักโรงแรมด้วยกัน ยืนยันว่าเป็นการสมยอมทั้งสองฝ่าย “ผมเสียอิสรภาพไปกว่า 1 ปี ต้องอยู่ในเรือนจำอย่างไร้ความผิด ข่าวตอนนั้นแรงมากจนพี่สาวยังไม่กล้ามาพบ ผมอยากขอโอกาสกลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง”
เจ้าตัวยังชี้แจงถึงกรณีถูกระบุว่าเป็น “วินเถื่อน” และมีคดีเก่าติดตัวว่า ไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ และศาลได้พิจารณาแยกออกชัดเจน ส่วนคลิปวิดีโอในโทรศัพท์มือถือ ยืนยันว่าเป็นหญิงสาวที่สมยอม ไม่ใช่เหยื่อถูกแอบถ่าย
สำหรับการยื่นร้องครั้งนี้ นายธนภัทรต้องการดำเนินคดีหญิงคู่กรณีตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ฐาน “แจ้งความเท็จ” ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เขาเผยอีกว่า เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้ยื่นคำร้องต่อกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอรับเงินเยียวยาในฐานะผู้ถูกคุมขังเกินจำเป็น และในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ จะเดินทางไปพบทนายความเพื่อยื่นเรื่องต่อสภาทนายความ รวมถึงแจ้งความอย่างเป็นทางการที่ สน.พญาไท เพื่อเดินหน้าคดีตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป.













