วันเสาร์, พฤษภาคม 11, 2024
หน้าแรกสืบเศรษฐกิจการเงิน“คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นคริปโต” วลีใหม่ใน “ยุคดิจิทัล”

Related Posts

“คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นคริปโต” วลีใหม่ใน “ยุคดิจิทัล”

ผ่าเหรียญ “บิทคอยน์” ถดถอย-ขาดสภาพคล่อง ?  เพียงเพราะกฎเทรดขั้นต่ำ มือใหม่ทุนน้อยอยากเข้าตลาดเรียนรู้ ถูกกีดกันหรือไม่ ระวังคนทุนน้อยจะเปิดประตูเล่นหวย อย่าให้วลี “คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นคริปโต” กลายเป็นวลีใหม่ในยุคดิจิทัล..!?!

“…สวนทางกับหลายประเทศพยายามออกเงินสกุลดิจิทัลของตนเอง เช่น หยวนดิจิทัล หรือการที่ธนาคารกลางทั่วโลกต่างเร่งศึกษาและพัฒนาเงินสกุลดิจิทัลของตนเอง (Central Bank Digital Currency: CBDC) ขณะที่เมืองไทยก็กำลังทดลองทำเงินบาทดิจิทัล เพื่อช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินมีต้นทุนถูกลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เมื่อคริปโตเคอร์เรนซีก้าวเข้าสู่ตลาดบ้านเรา มีการออกกฎหมายให้คนอายุ 18-20 ปีลงทุนได้ แต่ก็ระบุว่าต้องมีเอกสารใบยินยอมจากผู้ปกครอง เพื่อให้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นการลงทุนในรูปแบบการออมแบบหนึ่ง และเปิดโอกาสให้ทุกคนมีโอกาสเรียนรู้และลงทุนตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล หากคนบางกลุ่มต้องถูกปิดกั้นการลงทุน ด้วยถูกมองว่ามีข้อจำกัดบางประการ พวกเขาก็จะต้องหาทางนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ซึ่งอาจหลงเข้าไปสู่การลงทุนที่ไม่ถูกกฎหมาย กลายเป็นความเสียหายในที่สุด อย่าให้วลี “คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นคริปโต” กลายเป็นวลีใหม่ในยุคดิจิทัล..”

12 ปีที่ผ่านมา จากบิทคอยน์มูลค่า 0.04951 ดอลลาร์ ต่อ 1 BTC พุ่งขึ้นมาเกือบ 2 หมื่นเท่าตัว คาดว่าอาจไปถึงหลัก 1 แสนดอลลาร์ต่อ 1 BTC กระแสสินทรัพย์ดิจิตอลท่ามกลางกลุ่มแอนตี้ ป้ายสีว่าไม่ต่างกับแชร์ลูกโซ่ที่ในที่สุดก็จะล่มสลาย สวนทางกับหลายประเทศพยายามออกเงินสกุลดิจิทัลของตนเอง เช่น หยวนดิจิทัล หรือการที่ธนาคารกลางทั่วโลกต่างเร่งศึกษาและพัฒนาเงินสกุลดิจิทัลของตนเอง (Central Bank Digital Currency: CBDC) ขณะที่เมืองไทยก็กำลังทดลองทำเงินบาทดิจิทัล เพื่อช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินมีต้นทุนถูกลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น วันนี้ ก.ล.ต. แทนที่จะส่งเสริมทัศนคติทัศทางบวกเสริมสภาพคล่องตลาดให้เข้าถึงง่าย กลายเป็นเฝ้าออกกฎระเบียบยุบยับ จู่ๆก็ “กำหนดมูลค่าการซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลต่อธุรกรรมขั้นต่ำ 5,000 บาท เพื่อจำกัดการเข้าถึงการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีสำหรับผู้ลงทุนรายย่อย” แต่มีข้อยกเว้นสำหรับ  โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (investment token) ส่อให้คนตราหน้า “เก่งเรื่องความไม่เท่าเทียม” เสกความเชื่อว่าโทเคนนั้นดีกว่าเหรียญนี้ ตามอำเภอใจหรือไม่..? ท้ายที่สุดผลเสียหาย คือ ตลาดขาดสภาพคล่องจากคนทุนน้อย ที่อยู่ในช่วงการ เก็บหอมรอมริบ พวกเขาเพียงต้องการเข้าตลาดด้วยเงินน้อยๆเพื่อการเรียนรู้ กลับกลายเป็นถูกกีดกันทางอ้อม กลายเป็นความเสียหายในที่สุด  บางคนอาจจะเลือกเปิดประตูให้โชคลาภเข้ามาหาง่ายที่สุดด้วยการซื้อ “หวย” อย่าให้วลี “คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นคริปโต” กลายเป็นวลีใหม่ในยุคดิจิทัล

ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา วันที่ 17 กรกฎาคม 2010 นักลงทุนเริ่มรู้จักเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี เมื่อ “บิทคอยน์” ถูกเทรดเป็นครั้งแรกของโลก บนเว็บ Mt.Gox ที่ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็น crypto Exchange การก้าวเข้าสู่สนามซื้อขายวันแรกของบิทคอยน์ มีวอลลุ่มประมาณ 20 BTC ระหว่างสองฝ่าย จำนวนมูลค่าของธุรกรรมทั้งหมดอยู่ที่ 0.99 ดอลลาร์เท่านั้น และราคาของบิทคอยน์ตอนนั้นอยู่ที่ 0.04951 ดอลลาร์ ต่อ 1 BTC

อย่างไรก็ตาม อัตราแลกเปลี่ยนของบิทคอยน์ขยับขึ้นเรื่อยๆ แปรผันตรงข้ามกับทรัพยากรบิทคอยน์ที่ค่อยๆ ลดน้อยลง จนปลายปี 2011 อัตราแลกเปลี่ยนขยับมาที่ 4.38 ดอลลาร์ ต่อ 1 BTC และในเดือนกรกฎาคม ปี 2012 ราคาบิทคอยน์ขยับมาที่แถวๆ 7.00 ดอลลาร์ต่อเหรียญ เนื่องจากเริ่มมีการประกาศรับค่าบริการเป็นสกุลเงินบิทคอยน์ ทำให้บิทคอยน์เริ่มมีตัวตน เป็นเงินตราที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวัน และได้รับการยอมรับมากขึ้น ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนบิทคอยน์เมื่อถึงสิ้นปี 2012 ขยับไปอยู่ที่ 13 ดอลลาร์ ต่อ 1 BTC

ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2017 มูลค่าบิทคอยน์แตะระดับหลัก 1,000 ดอลลาร์ต่อเหรียญเป็นครั้งแรก และขยับแรงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์ได้ในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน ก่อนจะพุ่งขึ้นไป 3,122 ดอลลาร์ในปี 2018 และขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ใครจะคิดว่าผ่านจากวันแรกที่บิทคอยน์เข้าเทรดในตลาดเพียง 12 ปี ในวันที่ 9 พ.ย. 2021 มูลค่าของบิทคอยน์จะทะยานพุ่งแรงแตะ 68,530.34 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2,249,165 บาท ต่อ 1 BTC เช่นเดียวกับเหรียญคริปโตประเภทอื่นๆ อาทิ อีเธอเรียม มูลค่าแตะ 4,837.59 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 158,721 บาท อย่างไรก็ตาม หลังจากบิทคอยน์ทำสถิติสูงสุดในช่วงปลายปี 2021 ราคาของเหรียญก็ค่อยทยอยลดความร้อนแรงลงมาเรื่อยๆจนล่าสุด (24 ก.ย. 2565) มูลค่าอยู่ที่ 19,288.2 ต่อเหรียญ เนื่องจากนักลงทุนกังวลผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อของเฟด

ปัจจุบันตลาดคริปโตมีเหรียญคริปโตอยู่ในลิสต์มากถึง 13,000 เหรียญ แต่บิทคอยน์ ยังเป็นคริปโตฯ ที่ครองตลาดสูงสุด หากพิจารณามูลค่าของบิทคอยน์ที่เข้าเทรดตลาดวันแรก 0.04951 ดอลลาร์ ต่อ 1 BTC กับสถานการณ์ล่าสุด (24 ก.ย. 2565)  19,288.2 ต่อ 1 BTC พุ่งขึ้นมาเกือบ 2 หมื่นเท่าตัว คำถามก็คือว่าตลาดบิทคอยน์ ณ วันนี้ เข้าสู่ภาวะถดถอยจริงหรือ? ตัวเลของบิทคอยน์ที่เคยทะยานขึ้นไปสูงสุดเกือบ 7 หมื่นดอลลาร์ต่อบิทคอยน์ ใช่จุดสมดุลของบิทคอยน์แน่หรือ? หรือในความเป็นจริงจุดสมดุลของอัตราแลกเปลี่ยนบิทคอยน์อาจอยู่ที่เพียง 15,000-20,000 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC ก็ได้ แต่การที่พุ่งทะยานขึ้นไปอย่างมากมายในช่วงเวลาหนึ่ง อาจเป็นเพราะความนิยมที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่เหรียญบิทคอยน์ซึ่งถูกขุดขึ้นมาใช้ในตลาดมีเพียง 19 ล้านเหรียญ ซึ่งปริมาณนี้จะยังคงที่ไปอีกเกือบ 100 ปี หลังจากนั้นก็จะขุดขึ้นมาอีกแค่ 3 ล้านเหรียญ ทำให้มูลค่าของบิทคอยน์พุ่งขึ้นจนหลายคนมองว่าเป็นการเสกมูลค่าของนักเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับทองคำ ถ้าวันนี้กระแสความต้องการทองคำพุ่งขึ้นในขณะที่ปริมาณทองคำบนโลกยังเท่าเดิม ราคาทองคำอาจทะยานขึ้นไปแตะบาทละ 50,000 บาท วันหนึ่งเมื่อกระแสความร้อนแรงกลับสู่จุดสมดุล ราคาทองคำก็จะไหลกลับลงมาแตะที่จุดสมดุลคือบาทละ 25,000-29,000 บาท หากจะมองว่าการที่ทองคำเคยขึ้นไปแตะบาทละ 50,000 แล้วกลับไหลลงมาอยู่ที่ 29,000 บาทเป็นความถดถอยก็อาจจะมองได้ในสายตานักลงทุน แต่ในฐานะคนออมเงินราคาทองคำบาทละ 25,000-29,000 บาทยังถือว่าอยู่ในจุดสมดุลที่สามารถหาซื้อเก็บไว้เป็นทรัพย์สินที่อาจมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ชนะเงินเฟ้อ และมีอัตราผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงิน

สถานการณ์ความผันผวนของบิทคอยน์ที่เกิดขึ้นในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา จึงขึ้นอยู่กับว่าจะมองในมุมไหน หากไปสอบถามนักลงทุนที่นิยมการลงทุนในบิทคอยน์ก็จะได้รับคำตอบว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ ไม่น่าแปลกใจ เป็นไปตามวัฏจักร มีขึ้นมีลง และยังเชื่อมั่นว่าในอนาคตมูลค่าของบิทคอยน์จะหวนกลับสู่จุดสูงสุดที่เคยทำได้อีกแน่นอน และอาจทะยานไปถึงหลัก 1 แสนดอลลาร์ต่อ 1 BTC ก็ได้ แต่หากไปถามผู้บริหารสถาบันการเงินที่เป็นคู่แข่งของบิทคอยน์ก็จะมองว่าบิทคอยน์ไร้ตัวตน จับต้องไม่ได้ เป็นการสร้างมูลค่าจากอากาศ ไม่มีความน่าเชื่อถือ ไม่ต่างกับแชร์ลูกโซ่ที่ในที่สุดก็จะล่มสลายลงไป

หากจะว่าไปแล้ว การเกิดขึ้นของเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี เป็นการคิดค้นเพื่อตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัลที่ธุรกรรมทั้งมวลต้องทำผ่านระบบออนไลน์ และหลายประเทศได้กำหนดให้เหรียญคริปโตเป็นสกุลเงินถูกกฎหมาย จับจ่ายใช้สอยได้เหมือนสกุลเงินหลัก อาทิ สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ขณะที่ในหลายประเทศพยายามออกเงินสกุลดิจิทัลของตนเอง เช่น หยวนดิจิทัล หรือการที่ธนาคารกลางทั่วโลกต่างเร่งศึกษาและพัฒนาเงินสกุลดิจิทัลของตนเอง (Central Bank Digital Currency: CBDC) เป็นเงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ เช่น เมืองไทยก็กำลังทดลองทำเงินบาทดิจิทัล เพื่อช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินมีต้นทุนถูกลงและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งก็ไม่ต่างจากเงินคริปโตรูปแบบอื่นๆ ที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีกระจายศูนย์ (Distribution Ledger Technology: DLT) หรือบล็อกเชน (blockchain) ทำให้การใช้จ่ายในระดับรายย่อยเป็นไปด้วยความปลอดภัย

ด้วยเหตุนี้ เมื่อคริปโตเคอร์เรนซีก้าวเข้าสู่ตลาดบ้านเรา จึงมีการออกกฎหมายเปิดช่องให้คนอายุ 18-20 ปีลงทุนได้ แต่ก็ระบุว่าต้องมีเอกสารใบยินยอมจากผู้ปกครอง และภาพบัตรประชาชนเซ็นสำเนาถูกต้องของผู้ปกครองประกอบคำยินยอมนั้น สามารถลงทุนได้ตามกำลังทรัพย์ เพื่อให้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นการลงทุนในรูปแบบการออมแบบหนึ่ง และเปิดโอกาสให้ทุกคนมีโอกาสเรียนรู้และลงทุนตั้งแต่วัยเยาว์

อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงาน ก.ล.ต. เสนอ “หลักการปรับปรุง” แนวทางการกำกับดูแลการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากมองว่า คริปโทเคอร์เรนซีไม่ได้มีการกำกับดูแลการออกและเสนอขายตามกฎหมายของประเทศไทย และมีราคาผันผวนสูง โดยอาจไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ทำให้อาจสูญเสียเงินทั้งจำนวน ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ประเภทศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล จะต้องกำหนดมูลค่าการซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลต่อธุรกรรมขั้นต่ำ 5,000 บาท เพื่อจำกัดการเข้าถึงการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีสำหรับผู้ลงทุนรายย่อย แต่มีข้อยกเว้นสำหรับ โทเคนดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตให้เสนอขายตาม พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ เช่น โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (investment token) เพราะถือว่าเปิดเผยข้อมูลตามที่กำหนดแล้ว และเงื่อนไขขั้นต่ำ 5,000 บาท ใช้เฉพาะการซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยเงินบาท ไม่นับรวมการแลกเปลี่ยนกันระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัล

ว่ากันว่าการปรับกฎเกณฑ์ดังกล่าวอาจส่งกระทบกับนักลงทุนร่ายย่อยถึง 46 เปอร์เซ็นต์ และอาจทำให้หันไปใช้บริการในต่างประเทศแทน สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า เราอาจปฏิเสธการดิสรัปชั่นได้ แต่เราไม่สามารถต่อต้านการดิสรัปชั่นได้ การลงทุนยุคใหม่จึงต้องเปิดกว้างให้กับทุกคนได้มีโอกาสเข้ามาแสวงหาทางเลือกออมเงินในรูปแบบใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับตัวเอง ด้วยภูมิความรู้ที่ได้รับการบ่มเพาะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกราะป้องกันที่ดีที่สุด คือ ความรู้ ต้องศึกษาให้เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง และสร้างมายด์เซ็ทการลงทุนคริปโตเพื่อการออมมากกว่าหวังผลกำไร พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือแม้แต่คนในอุตสาหกรรม ต้องให้ความรู้และทางเดินที่ถูกต้อง และใช้บริการกับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยที่ได้รับการรับรองจาก ก.ล.ต. เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยง

เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล หากคนบางกลุ่มต้องถูกปิดกั้นการลงทุน ด้วยถูกมองว่ามีข้อจำกัดบางประการ พวกเขาก็จะต้องหาทางนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ซึ่งอาจหลงเข้าไปสู่การลงทุนที่ไม่ถูกกฎหมาย ไม่ได้รับการอนุญาตให้เปิดทำธุรกรรมได้ กลายเป็นความเสียหายในที่สุด หรือหากไม่ได้เข้าไปลงทุนอะไรเลย บางคนก็เลือกเปิดประตูให้โชคลาภเข้ามาหาง่ายที่สุดด้วยการซื้อ “หวย” อย่าให้วลี “คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นคริปโต” กลายเป็นวลีใหม่ในยุคดิจิทัล

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts